Tuesday, July 31, 2018

Promote Secrets of Victory SS5 บริษัท ที.เอส.เจ็น จำกัด


via IFTTT

ติวเข้ม SME ผู้นำเครือข่ายมะพร้าวและกล้วยหนุนช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์

นางนิตยา  พิระภัทรุ่งสุริยา รองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สถาบันอาหาร ได้จัดประชุมกลุ่มเครือข่าย ผู้นำเครือข่าย และผู้ประสานงานเครือข่าย (CDA : Cluster Development Agent) ภายใต้โครงการสนับสนุนเครือข่าย SME ปี 2561 ในกลุ่มอุตสาหกรรมมะพร้าวและกล้วย ซึ่งได้รับมอบหมายจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)ให้ดำเนินการ ล่าสุดจัดที่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โดยมี CDA ที่เข้าร่วมรวมทั้งสิ้น 54 คน แบ่งเป็นกลุ่มมะพร้าว 33 คน และกลุ่มกล้วย 21 คน จากจำนวนกลุ่มเครือข่ายทั่วประเทศ 17 กลุ่ม แบ่งเป็นมะพร้าว 10 กลุ่ม และกล้วย 7 กลุ่ม เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ จัดกลุ่มเป้าหมาย เชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างกัน อบรมความรู้ด้านการตลาดสมัยใหม่และการประยุกต์ใช้ รวมถึงการสร้างตราสินค้า เพื่อให้แต่ละกลุ่มจัดทำแผนพัฒนาเครือข่ายให้เหมาะสม สามารถนำไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้จริง

ทั้งนี้ ในระยะต่อไป โครงการฯ จะสนับสนุนให้ทุกกลุ่มเครือข่ายได้เพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ การเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ(Business Matching) ตลอดจนการนำผลิตภัณฑ์ไปร่วมงานจัดแสดงสินค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SME ในเครือข่ายที่เข้าร่วมมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวมกันได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท

 

The post ติวเข้ม SME ผู้นำเครือข่ายมะพร้าวและกล้วยหนุนช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์ appeared first on Smart SME.

นักวิจัยชี้แผ่นดินไหวอินโดฯ รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี

ผศ. ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ นักวิจัยชุดโครงการลดภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงลักษณะของแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ที่ความลึก 10 กิโลเมตร บนเกาะลอมบอก ประเทศอินโดนีเซีย ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวตื้นและเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงแก่อาคารต่าง ๆ อีกทั้งนับเป็นแผ่นดินไหวที่ใหญ่ที่สุดในช่วง 100 ปีบนเกาะแห่งนี้

ศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ทางตอนเหนือของเกาะลอมบอก ห่างจากภูเขาไฟรินจานีประมาณ 15 กิโลเมตร และห่างจากเมืองมาตารัมซึ่งเป็นเมืองหลักบนเกาะลอมบอกประมาณ 50 กิโลเมตร จากสถิติแผ่นดินไหวในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา บริเวณรอบเกาะดังกล่าวมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่กว่า 6.0 ขึ้นไปเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นบนเกาะลอมบอก จึงไม่มีความเสียหายจากแผ่นดินไหว แต่เนื่องจากเกาะลอมบอกนั้นตั้งอยู่บริเวณแนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก Flores Thrust จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้

นักวิจัยระบุว่า ลักษณะของแผ่นดินไหวล่าสุดเกิดจากการดันตัวขึ้นของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับแผ่นดินไหวที่อาจทำให้เกิดสึนามิ เช่นเดียวกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 แต่ตำแหน่งของแผ่นดินไหวในครั้งนี้มีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่บนเกาะมากกว่าในทะเล กอปรกับขนาดแผ่นดินไหวไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก จึงไม่ทำให้เกิดสึนามิ โดยแนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก Flores Thrust เคยทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2535 ที่บริเวณเกาะฟลอเรส ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเกาะ ลอมบอกประมาณ 600 กิโลเมตร เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวและสึนามิมากถึงประมาณ 2,500 คน

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดดินถล่มภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประการแรกคือ ความรุนแรงของการสั่นสะเทือน รวมถึงความลาดชันของชั้นดิน ประเภทของดิน สภาพความชื้นของชั้นดิน และสภาพพื้นผิวหน้าดิน โดยแผ่นดินถล่มที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากหลาย ๆ ปัจจัยมารวมกัน เนื่องมาจากตำแหน่งศูนย์กลางแผ่นดินไหวนั้นอยู่ห่างจากภูเขาไฟรินจานีเพียงเล็กน้อย กอปรกับมีอาฟเตอร์ช็อคขนาด 4.5-5.4 ที่ยังคงเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกัน จึงทำให้มีโอกาสที่จะยังเกิดดินถล่มได้อยู่ในช่วง 1 สัปดาห์จากนี้ไป

สำหรับความเสียหายของอาคารต่างๆ นั้น ผศ. ดร.ธีรพันธ์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการก่อสร้างที่สร้างไม่ถูกหลักวิศวกรรม โดยเสาคอนกรีตมีหน้าตัดเล็กกว่า 20 ตารางเซนติเมตร และไม่มีเหล็กยืนหรือเหล็กปลอก จึงทำให้เกิดการพังทลายได้ง่ายเมื่อเกิดแผ่นดินไหว นับเป็นอาคารที่มีโครงสร้างอ่อนแอและทำให้มีผู้เสียขีวิตทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวรวมทั้งในประเทศไทยด้วย โดยเบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 14 คน อาจเนื่องมาจากแผ่นดินไหวเกิดตอนเช้า ทำให้ยังมีผู้คนอยู่ในอาคารเหล่านี้ ต่างจากกรณีแผ่นดินไหวแม่ลาวประเทศไทย ซึ่งเกิดเหตุในช่วงเย็นขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ความสูญเสียต่อชีวิตจึงมีน้อยกว่า

The post นักวิจัยชี้แผ่นดินไหวอินโดฯ รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี appeared first on Smart SME.

ไทยงง! อินโดฯ ยังห้ามนำเข้าลำไย แม้จะแก้ระเบียบแล้วก็ตาม

เล่นเอา “พาณิชย์” งง! ไปเลยทีเดียว เมื่อรัฐมนตรีการค้าอินโดฯ ส่งหนังสือแจ้งยกเลิกห้ามนำเข้าลำไยจากไทย แต่อธิบดีกรมพืชสวนไม่ยอมออกใบอนุญาต ด้าน “สนธิรัตน์” สั่งติดตามอย่างใกล้ชิด ยื่นคำขาดต้องส่งออกให้ได้

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐมนตรีการค้าของอินโดนีเซียได้ส่งหนังสือมาเพื่อยืนยันว่ากระทรวงเกษตรอินโดนีเซียได้ยกเลิกมาตรการจำกัดระยะเวลาการนำเข้าพืชสวน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อเดือน มิ.ย.61 โดยในทางปฏิบัติอาจยังมีข้อจำกัดในบางเรื่องอยู่ และอาจต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกพืชสวนทั้ง 3 ชนิดไปอินโดนีเซียได้อย่างแท้จริง

“การที่รัฐมนตรีการค้าอินโดนีเซียส่งหนังสือมา แสดงให้เห็นว่าในระดับนโยบายมีการแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ในทางปฏิบัติอาจยังติดขัดบ้าง คงต้องรออีกสักระยะ พร้อมติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ไทยส่งออกพืชสวนทั้ง 3 ชนิด โดยเฉพาะลำไยไปอินโดนีเซียให้ได้ เพราะช่วงนี้ เป็นช่วงที่ผลผลิตลำไยของไทยออกสู่ตลาดจำนวนมากพอดี” นายสนธิรัตน์กล่าว

ทั้งนี้ จากรายงานล่าสุดของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย พบว่าผู้นำเข้าทุกกรายยังปฏิเสธไม่ให้นำเข้าลำไยจากไทยในช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม เช่นเดิม โดยอ้างว่าระเบียบฉบับใหม่นั้น อำนาจการพิจารณาให้ใบอนุญาตการนำเข้าอยู่ที่อธิบดีกรมพืชสวน กระทรวงเกษตรของอินโดนีเซียเท่านั้น ซึ่งยังคงทำให้ลำไยไทยไม่สามารถนำเข้ามาได้

The post ไทยงง! อินโดฯ ยังห้ามนำเข้าลำไย แม้จะแก้ระเบียบแล้วก็ตาม appeared first on Smart SME.

SME BANK สุโขทัย OA 300761 Full


via IFTTT

พาณิชย์หนุน SME ใต้เจาะตลาดฮาลาลกาตาร์

กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าพัฒนาผู้ประกอบการฮาลาล สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ลุยตลาดโลก ตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกปี 63 เตรียมพร้อมดันสินค้าฮาลาลไทยผงาดในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์

นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาผู้ประกอบการอาหารฮาลาลใน 5 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใน 5 จังหวัดภาคใต้ให้มีความสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้ โดยมีเป้าหมายที่จะให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าฮาลาลติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ภายในปี 2563 เนื่องจากตลาดอาหารฮาลาลเป็นตลาดที่ใหญ่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมรวมกันเกือบ 2,000 ล้านคนทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาผู้ประกอบการและผู้ผลิตสินค้าอาหารฮาลที่มีศักยภาพในการส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ๆ แต่ผู้ประกอบการในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ยังขาดการส่งเสริมอย่างจริงจัง และเพื่อขยายตลาดสินค้าฮาลาลไปยังประเทศที่มีผู้บริโภคชาวมุสลิมจำนวนมาก รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะประเทศกาตาร์ ที่จะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในอีก 4 ปีข้างหน้า หรือปี ในปี 2022  ต่อจากประเทศรัสเซีย

สำหรับจุดแข็งสินค้าไทยในตลาดตะวันออกกลางรวมทั้งกาตาร์ส่วนใหญ่มองว่าสินค้าไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งชื่อเสียงของสินค้าไทยค่อนข้างดีในมุมมองของประเทศในแถบตะวันออกกลาง ดังนั้น โอกาสที่ไทยจะส่งสินค้าเข้าไปขยายตลาดจึงมีความเป็นไปได้สูง แม้ว่าการแข่งขันจะสูงก็ตาม เพราะกาตาร์เป็นประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าต่างๆ จากทั่วโลกเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล สินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป เครื่องประดับ อัญมณี และอื่นๆ เป็นต้น

The post พาณิชย์หนุน SME ใต้เจาะตลาดฮาลาลกาตาร์ appeared first on Smart SME.

กรมพัฒน์ฯ จัดงาน“Biz SPACE Startup Solutions for SME”

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จัดงาน “Biz SPACE Startup Solutions for SME” เชิญผู้เชี่ยวชาญจากวงการ Startup และ SME ให้ความรู้ ส่งเสริมผู้ประกอบการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี

นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมฯ จะจัดงาน “Biz SPACE Startup Solutions for SME” ซึ่งเป็นกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ Startup และ SME เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Entrepreneurship : IDE) เสริมสร้างความรู้ด้านการบริหารจัดการ การตลาด การเงินและบัญชี การซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์ การขนส่งและการจัดเก็บสินค้า รวมถึงไอเดียการสร้างธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ งานมีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 7 ส.ค.2561 ณ Auditorium Room ชั้น 7 อาคาร KX (Knowledge Xchange) ถนนกรุงธนบุรี โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าจากวงการ Startup และ SME มาร่วมเผยเคล็ดลับความสำเร็จจากการใช้นวัตกรรมเป็นตัวช่วยเพิ่มศักยภาพและขับเคลื่อนธุรกิจ เช่น ดร.ศักดิพล เจือศรีกุล ผู้อำนวยการศูนย์สร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม (IDE Center) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คุณไผท ผดุงถิ่น ผู้ก่อตั้ง บริษัท บิลค์เอเชีย จำกัด ซอฟต์แวร์บริหารจัดการธุรกิจก่อสร้าง และคุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท อุ๊คบี จำกัด (Ookbee) ผู้นำธุรกิจอีบุ๊คในไทย

ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามองว่าการใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาใช้จะช่วยให้สินค้าและบริการเป็นที่จดจำของผู้บริโภค ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ Startup และ SME ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองธุรกิจบริการ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทรศัพท์หมายเลข 08-5155-5940 08-2790-2127 E-mail : bizspacestarup2018.1@gmail.com สายด่วน 1570 และ www.dbd.go.th

The post กรมพัฒน์ฯ จัดงาน“Biz SPACE Startup Solutions for SME” appeared first on Smart SME.

TSC ชูโครงการ Big Brother ปี 2

ศูนย์ Thailand Smart Center ต่อยอดโครงการพี่ช่วยน้องปี 2 ดึงพี่ใหญ่ 26 บริษัทเป็นโค้ชให้ 130 เอสเอ็มอี ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายให้ได้ 1,500 ล้านบาท ด้วยแนวทางช่วยเหลือ 4 ด้าน ครอบคลุมทุกมิติ

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้หอการค้าได้ลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกับพันธมิตร 31 องค์กร เพื่อสนับสนุนศูนย์ Thailand Smart Center (TSC) ซึ่งจะเข้ามาช่วยเอสเอ็มอีให้สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพราะเอสเอ็มอีเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 4.8 ล้านล้านบาท ถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 41% ของจีดีพี ทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 11.7 ล้านคน

นายพลิษศร์ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานกรรมการ TSC กล่าวว่า TSC จะสร้างแพลตฟอร์มให้เป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจรให้กับเอสเอ็มอี โดยจะเน้นใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) คือ กลุ่มการค้าและการลงทุน กลุ่มท่องเที่ยวและบริการ กลุ่มเกษตร และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะเป็นการพัฒนาผู้ประกอบการเชิงรุก ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเอสเอ็มอีเกิดความเข้มแข็งและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ต่อยอดธุรกิจสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นเอสเอ็มอี 4.0 โดยอาศัยเครือข่ายผู้ประกอบการในหอการค้า ผ่านโครงการในลักษณะของพี่ช่วยน้อง หรือ Big Brother ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2

“โครงการพี่ช่วยน้องปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทพี่ใหญ่ 26 บริษัทใหญ่ที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องๆ เอสเอ็มอี 130 ราย ตั้งเป้าว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ได้มูลค่า 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีแรกที่สามารถเพิ่มยอดขายให้เอสเอ็มอี 51 ราย เพิ่มยอดขายได้ 500 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาก็มี ร้านห่านท่าดินแดง เป็นเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการแล้วสามารถต่อยอดออกไปตลาดต่างประเทศอย่างเวียดนาม และ สปป.ลาวได้แล้ว โดยพี่ใหญ่แต่ละรายจะแบ่งกันดูแลน้องๆ ตามความเชี่ยวชาญของแต่ละบริษัท เช่น เอสซีจีเข้ามาช่วยส่งเสริมด้านโลจิสติกส์ กลุ่มสิงห์จะเข้ามาช่วยเรื่องการตลาด กลุ่มสยามเพลย์เข้ามาช่วยด้านการปรับปรุงแพกเกจจิ้ง กลุ่มช้อปปี้เข้ามาช่วยเรื่องการทำตลาดออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว พี่เลี้ยง 1 รายต่อเอสเอ็มอี 10 ราย” นายพลิษศร์ กล่าว

สำหรับแนวทางที่จะเข้าไปช่วยเหลือของ TSC ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1.TSC express จะเข้ามาช่วยเหลือด้านเงินทุน ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเอสเอ็มอี โดยได้นำร่องคัดเลือกผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากภูมิภาคละ 50 ราย รวม 250 คนทั่วประเทศ มาแมตช์กับโค้ช 2.TSC easy ซึ่งจะเข้าไปช่วยผู้ประกอบการในการประกอบธุรกิจให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

3.TSC outsite visit เป็นการนำเอสเอ็มอีเข้าเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบ และ 4.TSC traning เป็นการส่งเสริมและฝึกอบรมเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการจดทะเบียน การขอใบอนุญาต การขอรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ และการทำการตลาดออนไลน์ เป็นต้น

The post TSC ชูโครงการ Big Brother ปี 2 appeared first on Smart SME.

เสี่ยงคุก!! ให้ลูกจ้างทำงานวันหยุดเกิน 36 ชม./สัปดาห์

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทำ OT เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำและปรับ

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กำหนดห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุด เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นนายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุดได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆ ไป นอกจากนี้กฎหมายยังกำหนดห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาและทำงานในวันหยุดรวมกันเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ด้วย

ทั้งนี้หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะมีความผิดโดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ดังนั้น จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้อง หากมีข้อสงสัยหรือสอบถามได้ที่ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3

The post เสี่ยงคุก!! ให้ลูกจ้างทำงานวันหยุดเกิน 36 ชม./สัปดาห์ appeared first on Smart SME.

ซีแอตเทิลสั่งแบนห้ามใช้หลอดพลาสติก

เมืองซีแอตเทิล ในสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามใช้หลอดพลาสติก โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ด้านธุรกิจร้านอาหารจำเป็นต้องปรับตัว เพราะหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะเสียค่าปรับเป็นเงิน 250 ดอลลาร์สหรัฐฯ

Kate Melges เจ้าหน้าที่องค์กรรักษ์สิ่งแวดล้อมจาก Greenpeace กล่าวกับสำนักข่าว CNN ว่าการออกข้อบังคับห้ามไม่ให้มีการใช้หลอดพลาสติกจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจภาคบริการไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร, ร้านขายของชำ, ร้านขายอาหารสำเร็จรูป, ร้านกาแฟ, ฟู้ดทรัค ตลอดจนโรงอาหารตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งธุรกิจเหล่านี้สามารถปรับตัวด้วยการหันมาเลือกใช้หลอด หรือภาชนะที่ผลิตมาจากวัตถุดิบที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เช่น กระดาษ, ไม้ไผ่ อย่างไรก็ตาม ทางเมืองซีแอตเทิลแนะนำว่าธุรกิจบริการปฏิบัติตามข้อบังคับนี้

“เรายืนยันมาตลอดว่าพลาสติกเป็นมลพิษต่อธรรมชาติ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของ KIRO ที่เปิดเผยว่ามีพลาสติกถึง 40% ลอยอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งส่วนใหญ่มากจากการใช้งานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก” Kate Melges กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา เมืองซีแอตเทิลได้เริ่มต้นดำเนินการลดของที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2009 ที่มีการแบนห้ามใช้โฟม ต่อมาในปี 2010 เริ่มออกมาตรการเกี่ยวกับภาชนะบริการอาหารให้มีการรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ สามารถย่อยสลายได้

ขณะเดียวกัน ร้านค้าแบรนด์ดังในสหรัฐฯ เริ่มทยอยประกาศเลิกใช้หลอดพลาสติกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านสตาร์บัคส์, ร้านแมคโดนัลด์ และดังกิ้น โดนัท โดยร้านค้าทั้งหมดจะหันวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ และย่อยสลายได้

The post ซีแอตเทิลสั่งแบนห้ามใช้หลอดพลาสติก appeared first on Smart SME.

หนุนเอสเอ็มอีใต้เจาะตลาดฮาลาล l ข่าวค่ำทันโลก l 31 ก.ค. 61


via IFTTT

สภาองค์การนายจ้างห่วงเด็กจบปริญญาตรีตกงาน l ข่าวค่ำทันโลก l 31 ก.ค. 61


via IFTTT

คลัง-ธปท. รื้อกม. เครดิตบูโร เอื้อเอสเอ็มอี l ข่าวค่ำทันโลก l 31 ก.ค. 61


via IFTTT

ขุนคลังสั่งสร้างแอปสร้างอาชีพ ช่วยคนไทยแก้จน l ข่าวค่ำทันโลก l 31 ก.ค. 61


via IFTTT

10 ข้อดีของการมีอาชีพเสริม

จะดีแค่ไหนถ้าคุณมีรายได้หมุนเวียนตลอด แบบไม่ต้องเจอปัญหาการเงินสะดุด แถมบางครั้งยังได้ทำในสิ่งที่รัก มาดูกันว่าข้อดีของการมี อาชีพเสริม เพิ่มเติมจากงานประจำ จะมีข้อดียังไงบ้าง….

  • มีเงินเก็บ

เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วสำหรับการมีอาชีพเสริม เพราะนั่นย่อมหมายถึงรายได้ที่จะงอกเงยเข้ามาในกระเป๋าสตางค์ของเรา ยิ่งถ้าคุณมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ชื่นชอบการช้อปปิ้ง แต่งตัวเก่ง กินเก่ง เที่ยวเก่งละก็ การมีรายได้เพิ่มน่าจะเป็นทางเลือกที่ win win  ใช้จ่ายสบายๆ แถมยังมีเงินเก็บให้อุ่นใจแบบเหลือๆ

 

  • กระจายความเสี่ยง

ใครจะรู้ว่าวันดีคืนดี งานประจำที่คุณทำอยู่อาจจะมีการปรับโครงสร้างใหม่ หรือถูกโยกย้ายไปทำงานอื่นที่ไม่ถนัด ยิ่งกว่านั้นคุณอาจจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งเหล่านี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่จะดีกว่าไหมถ้าคุณงานอื่นๆ ไว้กันเหนียว อย่างน้อยเมื่อไหร่ที่ท้อแท้จากงานประจำจนต้องลาออก ก็ยังมีรายได้ไว้ซัพพอร์ต

 

  • ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า

ข้อนี้ตอบโจทย์สำหรับคนขี้เบื่อ ที่มักจะบ่นว่าไม่มีอะไรจะทำ หรือไม่รู้ว่าวันนี้จะทำอะไร เพราะอาชีพเสริมหลังเลิกงาน หรืองานที่ทำในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ จะทำให้ตารางเวลาในชีวิตของคุณแน่นเอี๊ยด จนไม่มีเวลาให้บ่นเลยทีเดียว

 

  • มีรายได้มากกว่า 1 ทาง

เสี่ยงเกินไปไหม ถ้ารายได้ที่คุณใช้จับจ่ายใช้สอยอยู่ในตอนนี้ มีแค่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว แล้วจะดีสักแค่ไหนถ้าเงินในบัญชีของคุณส่งเสียงเตือนว่ามีเงินเข้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชื่อก็บอกอยู่ว่า อาชีพเสริม นั้นย่อมแปลได้ว่าเสร็จงานเมื่อไหร่คุณก็ได้รับเงินตามเงื่อนไข  หรือหากสิ่งที่คุณทำเป็นการขายของไม่ว่าจะออฟไลน์หรือออนไลน์ คุณก็มียอดเงินไหลเวียนมาให้ใช้แบบไม่ขาดมือระหว่างเดือน

 

  • ได้ทำในสิ่งที่รัก

อาชีพ หรืองานประจำอาจจะไม่ได้หมายความว่าจะเป็นงานที่คุณรัก หรือถนัด บางคนทำงานเพราะจำใจต้องทำ คิดซะว่าทำไปก่อน ดีกว่าอยู่เปล่าๆ อาชีพเสริมจึงช่วยตอบโจทย์ในการได้ทำสิ่งที่คุณชอบและมีความถนัด เช่น ถ้าคุณชอบวาดรูป อาจจะรับจ้างเขียนการ์ตูน ภาพล้อ หรืองานรับจ้างออกแบบต่างๆ นอกจากจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำแล้วยังมีรายได้เข้ากระเป๋าอีกด้วย

 

  • เพิ่มโอกาสทำในสิ่งที่ฝัน

คุณมีความฝันบ้างไหม? เช่นอยากท่องไปในโลกกว้าง อยากเที่ยวรอบโลก อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง อยากซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ มีพื้นที่ใช้สอยกว้างๆ อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้ามี…เริ่มหาอะไรมาทำเพิ่มซะตั้งแต่ตอนนี้ เพราะยิ่งคุณมีช่องทางหารายได้พิเศษได้มากเท่าไหร่ ความฝันก็ใกล้เกินเอื้อมได้มากเท่านั้น

 

  • ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ประสบการณ์ไม่มีขาย คุณต้องได้มันมาด้วยตัวเอง ลองทำ ลองผิดลองถูก การที่คุณทำอาชีพที่หลากหลาย จะยิ่งเพิ่มประสบการณ์ให้ชีวิตคุณ การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ว่าใครจะมีโอกาสกันได้ง่ายๆ อุปสรรคสร้างคนให้แข็งแกร่ง คำนี้ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ

 

  • มีคอนเนคชันเพิ่ม

นี่แหล่ะ ข้อดี เพราะจะทำให้คุณได้พบผู้คนหลากหลาย บางคนค้าขายคุยกันถูกคอ ก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ถูกใจ  เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีต่อกันไปโดยปริยาย ใครจะรู้ บางครั้งบางคราวคุณอาจจะได้โอกาสในการต่อยอดไปสู่การขยับขยายอาชีพเสริมที่ทำเล่นๆ กลายเป็นธุรกิจที่มั่นคง โตไว โดยไม่ต้องง้องานประจำเลย…ก็เป็นได้

 

 

The post 10 ข้อดีของการมีอาชีพเสริม appeared first on Smart SME.

THAILAND INTERNET USER PROFILE 2018

คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยนานขึ้นเป็น 10 ชั่วโมง นาทีต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ชั่วโมง 41 นาทีต่อวัน โดย Gen Y เป็นแชมป์การใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดติดกันเป็นปีที่ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนผ่านชีวิตไปสู่ดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้คนไทยยังนิยมใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ Facebook, Instagram, Twitterและ Pantip สูงมากถึง ชม. 30 นาทีต่อวัน ขณะที่การรับชมวีดีโอสตรีมมิ่ง เช่น YouTube หรือ Line TV มีชั่วโมงการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ ชม. 35 นาทีต่อวัน ส่วนการใช้แอปพลิเคชันเพื่อพูดคุย เช่น Messenger และ LINE เฉลี่ยอยู่ที่ ชมต่อวัน การเล่นเกมออนไลน์อยู่ที่ ชม. 51 นาทีต่อวัน และการอ่านบทความหรือหนังสือทางออนไลน์อยู่ที่ ชม. 31 นาทีต่อวัน

อันดับกิจกรรมทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นจาก พฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตปี 61

เมื่อดูการเปลี่ยนผ่านการใช้ชีวิตประจำวันไปสู่ชีวิตดิจิทัล จะเห็นได้ว่า อันดับแรกที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทำกิจกรรมทางออนไลน์มากกว่าแบบดั้งเดิม ได้แก่

การส่งข้อความ 94.5%

การจองโรงแรม 89.2%

การจอง/ซื้อตั๋วโดยสาร 87.0%

การชำระค่าสินค้าและบริการ 82.8%

การดูหนัง/ฟังเพลง 78.5% ตามลำดับ

สังเกตได้ว่าพฤติกรรมทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นของคนไทยล้วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน ทำให้เกิดความเป็นห่วงเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวเพิ่มขึ้นมา ทำให้เป็นพันธกิจหลักอีกเรื่องหนึ่งที่ทาง ETDA จะต้องทำในปีนี้

The post THAILAND INTERNET USER PROFILE 2018 appeared first on Smart SME.

Monday, July 30, 2018

อยากบริหารทรัพย์สินดิจิทัลอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใช้กระเป๋าสตางค์แบบ Hot Wallet เท่านั้น

SealBlock เปิดตัวโซลูชันกระเป๋าสตางค์ Hot Wallet ที่ทำงานบนฮาร์ดแวร์รุ่นแรกของโลกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ สามารถถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลได้ในสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูงแต่เชื่อมต่อกันได้ โดยโซลูชันใหม่นี้จะตอบสนองความต้องการของกองทุนโทเคน ตลาดต่างๆ ผู้ดำเนินโครงการ เหล่านักขุด เทรดเดอร์ และผู้มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการโซลูชันกระเป๋าสตางค์สกุลเงินดิจิทัลที่มีความก้าวล้ำสูง

ผลิตภัณฑ์ของ SealBlock ได้รับการจัดแสดงครั้งแรกที่งาน Silicon Valley Blockchain Security Technology Forum ซึ่งจัดโดย BlockTrain แพลตฟอร์มสื่อบล็อกเชนสองภาษาแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์

โซลูชันของ SealBlock จะตอบสนองความท้าทายด้านความปลอดภัยมากที่สุดในการบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลในปัจจุบัน นั่นคือการป้องกันกุญแจส่วนตัว (private keys) ที่ใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์ กุญแจส่วนตัวเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อทั้งแฮกเกอร์ภายนอกและการเข้าถึงภายในโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้น บริษัทจำนวนมากจึงใช้กระเป๋าสตางค์แบบ “cold wallets” เพื่อจัดเก็บกุญแจของตนเองแบบออฟไลน์ แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยจะดีขึ้น แต่ประสิทธิภาพของการซื้อขายและการทำธุรกรรมได้ลดลงอย่างมาก รวมถึงการบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการบริหารก็สูงขึ้น

SealBlock นำเสนอเครื่องมือกำหนดนโยบายที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ซึ่งจะกำหนดนโยบายการลงนาม (signing policies) ให้กับกุญแจส่วนตัว (กระเป๋าสตางค์) แต่ละชุด นโยบายดังกล่าวรวมถึงนโยบายแบบหลายลายเซ็น นโยบายเกี่ยวกับรายการที่ได้รับอนุญาต นโยบายการจำกัดจำนวนเงิน ฯลฯ การทำธุรกรรมจะไม่ได้รับการลงนามโดยกุญแจส่วนตัว (private key) นอกเสียจากว่านโยบายการลงนามทั้งหมดจะเป็นที่พอใจ

นอกจากนี้ SealBlock ยังใช้เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของ Intel SGX เพื่อปกป้องกุญแจส่วนตัว การลงนามในธุรกรรม และนโยบายความปลอดภัย โดย Intel SGX จะสร้างขอบเขตการเข้ารหัสระดับชิปที่แยกจากระบบปฏิบัติการได้ ด้วยการออกแบบตามความปลอดภัยนี้ กระเป๋าสตางค์แบบ hardware wallet ของ SealBlock จะสามารถเชื่อมต่อแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อรองรับการสอบถามต่างๆ ขณะเดียวกันก็จะรักษาระดับความปลอดภัยให้เหมือนกับกระเป๋าสตางค์แบบ cold wallet

The post อยากบริหารทรัพย์สินดิจิทัลอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใช้กระเป๋าสตางค์แบบ Hot Wallet เท่านั้น appeared first on Smart SME.

ลิฟต์ไร้เชือก ตัวแรกของโลก กำลังจะเริ่มทดสอบภายใต้ศูนย์ทดลองแห่งใหม่ในแอตแลนตา

สำนักงานชื่อว่า ธิสเซ่นครุปป์ เอลลิเวเตอร์ อเมริกา คอมเพล็กซ์ จะเป็นสถานที่ทำงานของพนักงานประจำกว่า 900 คน และจะมีหอทดสอบลิฟต์อันทันสมัยสูง 128 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในอเมริกา โดยจะตั้งอยู่ใกล้กับสนามเบสบอลของทีม Atlanta Braves หนึ่งในโครงการทดสอบในศูนย์นี้คือ ลิฟต์ไร้เชือก

หอทดสอบลิฟต์แห่งใหม่จะมีปล่องลิฟต์ 18 ปล่องที่ใช้สำหรับทดสอบแนวคิดและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมลิฟต์

แอนเดรียส ไชเรนเบ็ค ซีอีโอบริษัท ธิสเซ่นครุปป์ เอลลิเวเตอร์ กล่าวว่า “หอทดสอบลิฟต์แห่งใหม่ในแอตแลนตาจะสะท้อนความมุ่งมั่นของธิสเซ่นครุปป์ในการลงทุนพัฒนาศูนย์นวัตกรรมทั่วโลก และยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับนักศึกษาและมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้เคียงด้วย นอกเหนือจากหอทดสอบลิฟต์ความเร็วสูงในเยอรมนีและจีนแล้ว หอทดสอบลิฟต์ในแอตแลนตาจะเป็นแห่งที่สามที่ใช้ทดสอบเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น MULTI ลิฟต์ไร้เชือกตัวแรกของโลก และ TWIN ลิฟต์สองตัวในปล่องเดียว”

ศูนย์ทดสอบ ลิฟต์ไร้เชือก คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2565

ธิสเซ่นครุปป์ เอลลิเวเตอร์ ทำยอดขายได้ 7.7 พันล้านยูโรในปีงบการเงิน 2559/2560 และมีลูกค้าใน 150 ประเทศทั่วโลก บริษัทเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ แต่ด้วยศักยภาพด้านวิศวกรรมอันโดดเด่นทำให้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตลิฟต์ชั้นนำของโลกภายในเวลาเพียง 40 ปี บริษัทมีพนักงานทักษะสูงมากกว่า 50,000 คน ที่พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์สุดล้ำและบริการอันเหนือชั้นตามความต้องการของลูกค้า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยลิฟต์ บันไดเลื่อนและทางเลื่อน สะพานเทียบเครื่องบิน ลิฟต์บันได รวมถึงผลิตภัณฑ์สั่งทำตามความต้องการของลูกค้า

The post ลิฟต์ไร้เชือก ตัวแรกของโลก กำลังจะเริ่มทดสอบภายใต้ศูนย์ทดลองแห่งใหม่ในแอตแลนตา appeared first on Smart SME.

“แบงค์ชาติ” เปิดตัวแอปฯ “Thai Banknotes” สอนสังเกตธนบัตรปลอม

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พัฒนา Mobile Application ที่ชื่อว่า Thai Banknotes เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับประชาชนได้รับความรู้เกี่ยวกับวิธีสังเกตลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงของธนบัตรแบบใหม่ทุกชนิดราคาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทางโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งสามารถรองรับได้ทั้งระบบปฏิบัติการ ios และ Android

สำหรับ Thai Banknotes เป็นแอปพลิเคชันที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยระบบจะแสดงคำแนะนำ เพื่อให้ประชาชนทราบถึงจุดสังเกตแต่ละแห่งด้วยการใช้วิธีการ “สัมผัส ยกส่อง หรือพลิกเอียง” เพื่อตรวจสอบธนบัตร โดยผู้ที่โหลดแอปพลิเคชันสามารถเลือกใช้งานได้ทั้งรูปแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมถึงมีช่องทางในการติดตามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามความรู้เกี่ยวกับเรื่องธนบัตรด้วย

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน Thai Banknotes ที่เปิดบริการให้ประชาชนดาวน์โหลดนั้นฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

The post “แบงค์ชาติ” เปิดตัวแอปฯ “Thai Banknotes” สอนสังเกตธนบัตรปลอม appeared first on Smart SME.

คืนนี้ อย่าลืมแหงนมองฟ้า…ปรากฎการณ์ดาวอังคารใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี !!

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เผยภาพชุดดาวอังคารมีขนาดปรากฏใหญ่ขึ้นและสว่างมากขึ้น พายุฝุ่นเริ่มเบาบางลง มองเห็นขั้วน้ำแข็งและพื้นผิวได้ชัดเจนขึ้นมาก  ชวนจับตา 31 กรกฎาคมนี้ ใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี ลุ้นฝน หากฟ้าใส

ดร. ศรัณย์  โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เผยว่า สดร. เริ่มบันทึกภาพดาวอังคารตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบขนาดปรากฏและความสว่างในช่วงที่ดาวอังคารโคจรเข้าใกล้โลกเรื่อย ๆ ภาพชุดดังกล่าวนำภาพถ่ายดาวอังคารมาเรียงเปรียบเทียบให้เห็นขนาดปรากฏที่ใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจนและปรากฏเต็มดวงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีความสว่างปรากฏมากขึ้นด้วยเช่นกัน  สามารถมองเห็นขั้วน้ำแข็งและพื้นผิวดาวอังคารได้

 

แต่เป็นที่น่าเสียดายในช่วงกลางเดือนมิถุนายนเกิดพายุฝุ่นขนาดใหญ่ปกคลุมพื้นผิวดาวอังคารเป็นบริเวณกว้าง จึงไม่สามารถเก็บรายละเอียดพื้นผิวดาวอังคารได้ชัดเจนเท่า 2 ปีก่อน ภาพล่าสุดเป็นภาพดาวอังคารในคืนวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 ซึ่งโคจรมาอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ เห็นลักษณะพื้นผิวได้ชัดเจนขึ้นมากกว่าช่วงก่อนหน้า เนื่องจากพายุฝุ่นเริ่มจางลง ภาพดาวอังคารทั้งหมดบันทึกโดยกล้องโทรทรรศน์ควบคุมระยะไกล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ของสดร. ที่ติดตั้ง ณ หอดูดาวดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา สงขลา

ดาวอังคารจะโคจรเข้าใกล้โลกเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใกล้โลกที่สุดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ห่างเพียง 57.6 ล้านกิโลเมตร (ระยะห่างเฉลี่ยระหว่างโลกกับดาวอังคารประมาณ 225 ล้านกิโลเมตร) ในวันดังกล่าวดาวอังคารจะมีขนาดปรากฏใหญ่ที่สุดและสว่างที่สุดในรอบ 15 ปี อีกด้วย ดร.ศรัณย์ กล่าว

ดร.ศรัณย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงนี้จึงเหมาะแก่การสังเกตการณ์ดาวอังคาร เพราะมีความสว่างและมีขนาดปรากฏใหญ่มาก มองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกจนถึงรุ่งเช้า สดร. จัดสังเกตการณ์ “ดาวอังคารใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี” วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น.

สำหรับผู้สนใจส่องดาวอังคารแบบเต็มตาผ่านกล้องโทรทรรศน์ สัมผัสขั้วน้ำแข็งของดาวเคราะห์แดง พร้อมส่องวัตถุท้องฟ้าที่น่าสนใจในคืนดังกล่าว อาทิ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ณ 4 จุด สังเกตการณ์หลัก ได้แก่

1) เชียงใหม่ : อุทยานดาราศาสตร์สิรินธร ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โทร. 081-8854353

2) นครราชสีมา : หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา นครราชสีมา โทร. 086-4291489

3) ฉะเชิงเทรา : หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ฉะเชิงเทรา โทร. 084-0882264

4) สงขลา : ลานชมวิวนางเงือก หาดสมิหลา จ.สงขลา โทร. 095-1450411

และโรงเรียนเครือข่ายอีก 360 แห่งทั่วประเทศ

 

ตรวจสอบรายละเอียดได้ทาง www.NARIT.or.th

 

 

The post คืนนี้ อย่าลืมแหงนมองฟ้า…ปรากฎการณ์ดาวอังคารใกล้โลกที่สุดในรอบ 15 ปี !! appeared first on Smart SME.

บอร์ด BOI อนุมัติปั้นฟู้ดอินโนโพลิสเพิ่ม 7 แห่ง

ตามที่ “บอร์ดบีโอไอ” ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบให้ขยายเครือข่าย ฟู้ดอินโนโพลิส หรือ เมืองนวัตกรรมอาหาร อีก 7 แห่ง นอกเหนือจากโครงการที่ตั้งอยู่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบด้านการเกษตรด้วยการวิจัยและพัฒนาในทั่วทุกภาคของประเทศ และเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารของโลก

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (สวทน.) เปิดเผยว่า การขยายเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหารเพิ่มขึ้นอีก 7 แห่ง ถือเป็นอีกหนึ่งข่าวดีที่ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทยมากยิ่งขึ้น นอกจากความสำเร็จในการขยายเครือข่ายเมืองนวัตกรรมอาหารแล้ว ยังเดินหน้าจัดทำนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ประเทศเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

 

ปัจจุบันโครงการดังกล่าว ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) อีกทางหนึ่ง โดยกิจการเป้าหมาย อาทิ การวิจัยพัฒนาด้านเกษตรอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ การปรับปรุงพันธุ์ และบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ที่จะเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองนวัตกรรมอาหารทั้ง 8 แห่ง คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากบีโอไอในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างน้อย 5 – 10 ปี ตามหลักเกณฑ์พื้นฐานของแต่ละประเภทกิจการแล้ว ยังจะได้รับสิทธิเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เช่น การลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หรือเพิ่มจำนวนปีการยกเว้นภาษีเงินได้อีกด้วย

The post บอร์ด BOI อนุมัติปั้นฟู้ดอินโนโพลิสเพิ่ม 7 แห่ง appeared first on Smart SME.

มธ.ส่ง “เรือสำรวจขนาดพกพา” รับมือน้ำท่วม – กักเก็บน้ำยามฝนทิ้งช่วง

รศ.ดร.สุเพชร จิรขจรกุล รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และพัฒนาองค์กร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-Informatics) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ทีมนักวิจัย ได้คิดค้นและพัฒนา “เรือสำรวจขนาดพกพา” นวัตกรรมเรือบังคับวิทยุพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับวัดระดับความลึกท้องน้ำ เพื่อคำนวณความสามารถของแม่น้ำหรือคูคลอง ในการรองรับปริมาณน้ำ

สำหรับนวัตกรรมดังกล่าว สามารถใช้งานกรณีเกิดอุทกภัยและกรณีฝนทิ้งช่วง พร้อมแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real Time) บนสมาร์ทโฟน โดยสามารถทำงานได้ต่อเนื่องกว่า 3 ชั่วโมง ในระยะทางควบคุม 500 เมตร มีค่าความผิดพลาดระดับความลึกโดยเฉลี่ย 3 เซนติเมตร ที่ระดับความลึกสูงสุดที่ได้ทดลองใช้งาน 20 เมตร ทั้งนี้ นวัตกรรมดังกล่าว เป็นการบูรณาการองค์ความรู้ร่วมกันระหว่าง ระบบอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิง (IoT: Internet of Things) และการจัดทำแผนที่ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เข้าด้วยกัน

โดยการทำงานของนวัตกรรมดังกล่าว ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ

  1. อุปกรณ์ระบบโซนาร์วัดความลึกจากผิวน้ำ พร้อมอุปกรณ์จีพีเอส (GPS) ที่ช่วยระบุตำแหน่งของเรือบังคับ
  2. อุปกรณ์วัดค่าคุณภาพน้ำในระดับพื้นฐาน ได้แก่ ค่าอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรดด่าง (pH) และค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (Dissolved Oxygen: DO)
  3. และ 3. อุปกรณ์ชุดอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิง (IoT) เพื่อบันทึกค่า และส่งข้อมูลไปยัง Cloud Server โดย “การวัดระดับความลึกท้องน้ำ” ใช้อุปกรณ์ระบบ

โซนาร์ วัดความลึกจากท้องเรือลงไปถึงพื้นคลองหรือร่องน้ำ และสามารถแสดงผลข้อมูลเรียลไทม์บนสมาร์ทโฟน ทีมวิจัยสามารถประมวผลข้อมูลระยะความลึกที่ได้ มาเทียบกับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (Mean sea level) และจัดทำแผนที่ระดับความตื้น-ลึกของแหล่งน้ำใน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับแบตเตอรี่ในระหว่างการสำรวจในแหล่งน้ำเพื่อเพิ่มระยะเวลาการสำรวจได้นานขึ้น

ทั้งนี้  เรือสำรวจขนาดพกพา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากมิติ อาทิ การสำรวจคุณภาพน้ำ เพื่อทดสอบคุณภาพของน้ำว่า เหมาะแก่การใช้งานในภาคการเกษตรหรือไม่ การเป็นข้อมูลในการติดตามความตื้น-ลึกคูคลอง เพื่อวางแผนขุดลอกคูคลองรองรับปริมาณน้ำ แม้ในกรณีอุทกภัยสามารถใช้สำรวจพื้นที่น้ำท่วม และหาเส้นทางเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยทีมวิจัยได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพบริเวณแหล่งน้ำในพื้นที่ตัวอย่าง จ.นครสวรรค์ และ จ.ปราจีนบุรี และสระเก็บน้ำในแปลงเกษตรทดลองของ มธ. อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการสำรวจที่ผ่านมานั้น อาจจะต้องพึ่งพาเครื่องมือขนาดใหญ่จากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาสูง และต้องอาศัยเจ้าหน้าที่วิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินสำรวจ และประมวลผลระดับความลึกท้องน้ำ และต้องใช้แรงงานจำนวนมาก รวมถึงใช้ระยะเวลาสำรวจและประมวลผลนาน ซึ่งนวัตกรรมนี้ จะช่วยลดข้อจำกัดดังกล่าวได้ และยังสามารถเพิ่มอุปกรณ์เชื่อมต่อเพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านแหล่งน้ำในอนาคต  รศ.ดร.สุเพชร กล่าว

นอกจากนี้  “เรือสำรวจขนาดพกพา” เป็นผลงานวิจัยร่วมกับ ผศ.ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล, ผศ.ดร.ธเนศ วีระศิริ และ อาจารย์ณัฐพล จันทร์แก้ว อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. โดยนวัตกรรมดังกล่าว อยู่ระหว่างการยื่นจดอนุสิทธิบัตร โดยล่าสุด ได้รับรางวัลเหรียญทองเกียรติยศ จากเวทีประกวดสิ่งประดิษฐ์เวทีนานาชาติ ครั้งที่ 46 (46th International Exhibition of Inventions of Geneva) ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Switzerland) รศ.ดร.สุเพชร กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน รศ.ดร.สมชาย ชคตระการ คณบดี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. กล่าวเสริมว่า ประเทศไทย ประสบปัญหาในการเตรียมขุดลอก พื้นที่แม่น้ำ คูคลอง เพื่อรองรับปริมาณน้ำในช่วงหน้าฝนเป็นอย่างมาก ซึ่งสังเกตได้ว่า ในช่วงที่ฝนตกหนักติดต่อกัน ได้ก่อให้เกิดมวลน้ำจำนวนมากเกิดอุทกภัยและไหลเข้าพื้นที่นาข้าว และสร้างความเสียหายแก่เกษตรกรเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน ก็ประสบปัญหาในการกักเก็บน้ำฝน ที่ไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรในช่วงหรือช่วงหน้าแล้ง คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ได้เล็งเห็นถึงปัญหาของสังคมในด้านต่างๆ จึงมีนโยบายสนับสนุนและผลักดันงานวิจัยของคณาจารย์ในทุกมิติ ให้เป็นเหมือนเครื่องมือหนึ่ง ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม

The post มธ.ส่ง “เรือสำรวจขนาดพกพา” รับมือน้ำท่วม – กักเก็บน้ำยามฝนทิ้งช่วง appeared first on Smart SME.

คลังผุดไอเดีย “Sharing Economy” แอปพลิเคชันกลางสร้างอาชีพ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)เป็นตัวกลางไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชน เช่น เครือเอสซีจี ในการนำระบบ Sharing Economy หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน มาใช้ช่วยสร้างงานสร้างรายได้เสริมให้กับคนไทย ทั้งในส่วนของผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมฝึกอาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการบัตรคนจนระยะสอง รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ต้องการหางานพิเศษ หารายได้เสริมมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ทั้งนี้แนวคิดที่ทำจะคล้ายๆ กับการทำแอปพลิเคชันของรถแท็กซี่ ที่เปิดให้คนขับรถแท็กซี่มาลงทะเบียนกับแอปพลิเคชั่น และใช้แอปฯ เป็นตัวกลางในการเรียกใช้บริการ แต่ในส่วนที่กระทรวงการคลังคิดไว้ คือ การทำแอปฯ ตัวกลางขึ้นมาเพื่อรวบรวมสาขาอาชีพที่มีความจำเป็นและหาใช้บริการยาก เช่น แอปฯ กลางสำหรับช่างไฟฟ้า ช่างประปา ผู้รับเหมาก่อสร้างขึ้นมา และจากนั้นก็ให้คนที่ต้องการใช้บริการเข้าไปติดต่อผ่านแอปฯ ได้

โดยเบื้องต้นอาจขอให้ เครือเอสซีจี ซึ่งมีเครือข่ายร้านขายวัสดุก่อสร้างทั่วประเทศ  ช่วยเป็นคนกลางในการกำหนดมาตรฐานช่างแต่ละประเภท และช่วยคัดเลือก รับลงทะเบียนช่างประเภทต่างๆ เพราะส่วนใหญ่ร้านขายวัสดุก่อสร้างจะรู้จักช่างแต่ละพื้นที่ดีอยู่แล้ว หากใครสนใจก็ให้กรอกข้อมูล ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ รายละเอียดไว้ เพื่อให้คนที่ต้องการใช้บริการ สามารถเข้าไปแอปพลิเคชัน และติดต่อส่งช่างมาซ่อมได้ทันที

“ทุกวันนี้การหาช่างมาซ่อมแซมงานต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย หากมีแอปฯ ที่เป็นตัวกลางเข้ามาช่วยก็จะช่วยให้ประชาชนสะดวก ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับช่าง หรือผู้มีรายได้น้อยที่กำลังฝึกอาชีพกับโครงการรัฐด้วย หรือบางคนที่ไม่ได้เป็นช่างเต็มตัว ก็สามารถมารับทำงานเป็นจ็อบๆ หารายได้เสริมได้ แต่มีข้อแม้ว่าการทำงานจะต้องมีมาตรฐานตามที่กำหนด” นายอภิศักดิ์ กล่าว

นายอภิศักดิ์ กล่าวอีกว่า แนวคิดการทำ Sharing Economy ขึ้นมานั้น มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มรายได้แก่ประชาชน ทั้งในส่วนของคนที่ทำงานให้บริการได้เต็มเวลา หรือคนที่รับทำงานช่างเป็นอาชีพเสริม ที่สำคัญการทำแอปพลิเคชันกลางจะไม่จำกัดเฉพาะสาขาช่างอย่างเดียว งานบริการ หรืองานประเภทอื่นที่ไม่ผิดกฎหมาย ก.คลังก็สามารถช่วยประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรับทำให้เกิดขึ้นได้

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ไปดูแนวคิดการนำ Sharing Economy มาปรับใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของตัวเอง รวมถึงให้ดูตัวอย่างจากบริษัทขนส่งเอกชนว่ามีการทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างไร เพราะตอนนี้ธุรกิจการค้าขายทางออนไลน์เติบโตขึ้นมาก และมีผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันเยอะ จึงน่าสนใจที่ไปรษณีย์ไทยจะต้องเข้าไปดูและมาปรับใช้  โดยการทำธุรกิจแบบนี้ไม่ต้องลงทุนเองทั้งหมด เพียงแต่ใช้การสร้างเครือข่ายและกระจายงานออกไปเท่านั้น

 

The post คลังผุดไอเดีย “Sharing Economy” แอปพลิเคชันกลางสร้างอาชีพ appeared first on Smart SME.

Voice Assistant การพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อผู้ขับขี่ปลอดภัยในอนาคต

เทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียง หรือ Voice Assistant เป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้งานอยู่ทั่วไปบนสมาร์ทโฟน อย่างที่รู้จักกันดีก็คือ Siri ในแอปเปิ้ล รวมถึง Alexa, Google, Cortana ของไมโครซอฟท์ และ Bixby ของซัมซุง แต่ปัจจุบันมีกระแสเรียกร้องให้ใช้งานในรถยนต์ก็เพิ่มขึ้น

การพัฒนาระบบ Voice Assistant ถือเป็นเรื่องท้าท้ายทั้งต่อผู้พัฒนาและโออีเอ็ม (OEMs) เพราะการทำให้เสียงออกมาเป็นธรรมชาติและใกล้เคียงมนุษย์ ถือว่ามีความสำคัญต่อการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค แต่ที่ไปกว่าก็คือการพัฒนาให้ระบบสามารถเข้าใจทุกภาษา, สำเนียงและน้ำเสียงของผู้ใช้ได้อย่างไม่มีที่ติ

ยกตัวอย่าง บ๊อช (Bosch) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในเยอรมันประกาศว่า “จะยุติความยุ่งยากของการมีปุ่มงานต่างๆ ในส่วนที่นั่งคนขับ” เพื่อผลักดันเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงในรถยนต์ไปสู่อีกระดับ โดยร่วมมือกับนักแปลที่มีประสบการณ์จำนวนมากในการพัฒนาระบบเพื่อใช้ใน 32 ภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีสั่งการด้วยเสียงของบริษัทรองรับกว่า 30 ภาษา และระบบ text-to-speech รองรับ 38 ภาษา โดยเป็นเสียงผู้หญิง 34 เสียง และผู้ชาย 9 เสียง

แม้ระบบจะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์หรือมีลูกเล่นมากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัยของผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสั่งการด้วยเสียงจะช่วยให้ผู้ขับรถไม่ต้องมองหาปุ่มกดหรือเลือกฟังก์ชั่นบนทัชสกรีน ซึ่งอาจเบี่ยงเบนความสนใจของคนขับจากการจราจรบนท้องถนน และการสั่งการด้วยเสียงโดยที่มือและตาของคุณไม่ต้องทำอะไรถือว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยในการจัดการงานต่างๆ

The post Voice Assistant การพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อผู้ขับขี่ปลอดภัยในอนาคต appeared first on Smart SME.

Sunday, July 29, 2018

ก.ค.61 ต่างชาติลงทุนไทยอีก 20 ราย มีเงินลงทุน 475 ล้านบาท

ในเดือนกรกฎาคม 2561 มีนักธุรกิจต่างชาติลงทุนไทยอีก 20 ราย มีเงินลงทุนที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ 475 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 550 คน

นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้อนุญาตให้คนต่างด้าว 20 ราย ประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์และจีน ซึ่งมีการนำเงินเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจกว่า 475 ล้านบาท และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนไทย 550 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุน

สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาต ได้แก่

1. ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่ม จำนวน 10 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 147 ล้านบาท ได้แก่ บริการให้กู้ยืมเงิน บริการทางบัญชี บริการรับจ้างผลิตผ้ามุ้งลวดสำหรับใช้ประกอบประตู บริการติดตั้ง ซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรขึ้นรูปพลาสติก บริการพัฒนาระบบควบคุมการทำงานสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ภายในรถยนต์ บริการตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนรถยนต์ บริหารจัดการคลังสินค้า บริการให้พนักงานไปเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการประกอบเครื่องยนต์ โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวจากประเทศญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์

2. ธุรกิจบริการให้แก่ลูกค้า จำนวน 4 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 116 ล้านบาท ได้แก่ บริการให้เช่า รถฟอร์คลิฟท์ รถลากพาเลทไฟฟ้า บริการบำบัดหรือปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม บริการติดตั้ง ซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ บริการส่งเสริมด้านการตลาด โดยเป็นคนต่างด้าว จากประเทศญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น

3. ธุรกิจบริการเป็นคู่สัญญาภาคเอกชน จำนวน 2 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 142 ล้านบาท ได้แก่ บริการตรวจวัดและรายงานแสดงภาพการก่อตัวของโคลนของหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม บริการออกแบบ จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง และทดสอบโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม สำหรับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยเป็นคนต่างด้าวจากประเทศสิงคโปร์ และจีน

4. ธุรกิจนายหน้า/ค้าปลีก/ค้าส่ง จำนวน 4 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 70 ล้านบาท ได้แก่ นายหน้าตัวแทนจัดหาลูกค้าเพื่อใช้บริการให้ใช้ช่วงสิทธิในซอฟต์แวร์ทางอุตสาหกรรม ตัวแทนจัดหาตลาดเพื่อการจำหน่ายแผงวงจรพิมพ์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การค้าปลีกชิ้นส่วนและอะไหล่เครื่องกำเนิดไอน้ำอุตสาหกรรมการค้าส่งเบาะและที่นั่งสำหรับรถทุกประเภท โดยส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวจากประเทศบาร์เบโดส ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร

การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในครั้งนี้จะมีผลให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นวิทยาการซึ่งเป็นองค์ความรู้ในแขนงที่คนไทยยังไม่มีความชำนาญหรือมีความเชี่ยวชาญในระดับที่ไม่สูงมากนัก เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการวางระบบโปรแกรมและการทำงานโดยรวมของระบบ SAP และ ERP องค์ความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับการบริหารจัดการและประสิทธิภาพการตรวจสอบประเมินปัญหาทางเทคนิคของเรือขนส่งขนาดใหญ่ องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาสารหล่อเย็นสำหรับเครื่องยนต์ รวมทั้งองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี และมาตรฐานการผลิตวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตอาหาร และเครื่องสำอาง เป็นต้น

ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2561 จำนวนธุรกิจที่ได้รับอนุญาตลดลงจากเดือนก่อน 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 23 ในขณะที่เงินลงทุนลดลง 1,047 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69 เนื่องจากเดือนมิถุนายน 2561 มีผู้ได้รับอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง คือ บริการให้กู้ยืมเงิน บริการรับค้ำประกันหนี้ และบริการออกแบบ จัดหา ติดตั้งเครื่องมือสำหรับโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น

The post ก.ค.61 ต่างชาติลงทุนไทยอีก 20 ราย มีเงินลงทุน 475 ล้านบาท appeared first on Smart SME.

โลกออนไลน์แห่แชร์ กูภัยไทยน้ำใจงามแม้เลอะโคลนแต่ไม่ยอมล้าง

เฟซบุ๊กแฟนเพจสำนักข่าว ABC Laos news ได้มีการเกาะติดความเคลื่อนไหวของสถานการณ์เขื่อนเซเปียน – เซน้ำน้อย แตกอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเมื่อวานนี้ได้มีการเผยแพร่ภาพชุดทีมป่อเต็กตึ๊งที่กำลังลากเรือกู้ภัยเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยสปป.ลาว ซึ่งอยู่ในสภาพเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยโคลน ซึ่งทางสำนักข่าว ABC Laos news ให้เหตุผลว่าสาเหตุที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไม่ยอมใช้น้ำล้างหน้า ล้างตา เพราะต้องการเก็บไว้ให้กับชาวสปป. ลาวมากกว่า

หลังจากภาพชุดนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไป ได้สร้างความซาบซึ้ง และความประทับใจให้กับชาวเน็ตที่เข้ามาดู และเกิดการแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก

The post โลกออนไลน์แห่แชร์ กูภัยไทยน้ำใจงามแม้เลอะโคลนแต่ไม่ยอมล้าง appeared first on Smart SME.

กูเกิล เปิดตัว “Google Station” Wi-Fi ฟรีครั้งแรกในประเทศไทย

กูเกิลประจำประเทศไทยออกมาเปิดเผยการเปิดให้บริการ Wi-Fi ฟรี เพื่อให้คนไทย และธุรกิจต่างๆ ได้เป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล

Mr.Ben King ผู้อำนวยการ Google ประจำประเทศไทย กล่าวว่า การริเริ่มแผนงานในครั้งนี้ของกูเกิลจะครอบคลุมการเข้าถึง 4 เสาหลักด้วยกัน ประกอบด้วย 1.การศึกษา 2.คอนเทนต์ 3.ผลิตภัณฑ์ และ 4.ผู้ประกอบการ SME ซึ่งกูเกิลมีความยินดีที่จะสร้างโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีในการดำเนินชีวิตในประจำวันให้กับคนไทย โดยเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าถึง 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“ไทยเป็นอันกับที่ 5 ของประเทศที่มีค่าเฉลี่ยความเร็วของอินเทอร์เน็ต (106 ต่อวินาที) ซึ่งเป็นรองสิงคโปร์, ฮ่องกง, เกาหลีใต้ และกาตาร์ ตามลำดับ ซึ่งการเปิดให้บริการ Google Station ที่ร่วมมือกับ CAT Telecom จะช่วยให้การใช้งาน “Wi-Fi เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ทั้งนี้ Google Station จะเริ่มนำร่องให้บริการใน 10 พื้นที่ของกรุงเทพฯ เช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง, ห้างสรรพสินค้าเมกาบางนา รวมถึงอีก 2 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร และเลย ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนได้ที่ Wi-Fi FreeGoogleStation-CAT

The post กูเกิล เปิดตัว “Google Station” Wi-Fi ฟรีครั้งแรกในประเทศไทย appeared first on Smart SME.

เรื่องจริงที่ต้องรู้และเตรียมใจ หากคิดจะก้าวสู่วิถีฟรีแลนซ์เต็มตัว

ฟรีแลนซ์ กลายเป็นอาชีพยอดฮิตของเด็กยุคดิจิทัล แบบไม่ต้องสงสัย เพราะด้วยพฤติกรรมของคนเจนเนอเรชันใหม่ที่ไม่ชอบอะไรที่เต็มไปด้วยกฎ หรือ ข้อบังคับ ในทางกลับกันหากให้อิสระแบบไม่มีขอบเขตแก่คนรุ่นนี้ กลายเป็นว่าพวกเขาทำผลงานออกมาได้ดีกว่าการสแกนนิ้วเข้า – ออกเต็มเวลาเสียอีก

แต่อย่างไรก็ตาม กฎ ระเบียบ ข้อบังคับระหว่างพนักงานและบริษัทหรือองค์กร แลกมาด้วยความมั่นคงต่อหน้าที่การงานหรือแม้แต่รายรับที่คงที่ ทำให้คนทำงานประจำหมดความกังวลใจในเรื่องรายได้ที่จะเข้ามาในแต่ละเดือน วันนี้ เราได้รวบรวม “เรื่องจริง” ที่คนจะก้าวสู่เวทีฟรีแลนซ์ ต้องรู้และเตรียมรับมือให้ดีกับสิ่งที่อาจจะต้องพบเจอเหล่านี้

 

หยุดงาน เท่ากับ ไม่ได้เงิน

แม้ว่า ฟรีแลนซ์  จะปราศจากความกังวลใจในสิ่งที่คนทำงานประจำต้องพบเจอ เช่นต้องตอบคำถามอันแสนคลาสสิคเกี่ยวกับการขาด ลา มาสาย หรือต้องหัวฟูกับรายการการประชุม รวมถึงวุ่นวายกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แต่คุณต้องไม่ลืมว่า พวกเขามีวันหยุดที่หยุดตามโครงสร้างขององค์กร รวมทั้งวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ขณะที่ฟรีแลนซ์ หากวันไหนหยุดทำงาน แปลว่ารายได้ของวันนั้นหายไปย่างไร้ร่องรอย ซึ่งหากหยุดหลายวันเข้า อาจจะส่งผลให้เงินในกระเป๋า ถึงคราว ชักหน้าไม่ถึงหลังเลยทีเดียว

 

ต้องมีลูกค้าชั้นดี สำรองมากกว่า 1 ราย

วิถีฟรีแลนซ์นั้น ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน  วันนี้อาจจะมีงานเข้ามาเป็นสิบราย แต่วันถัดไปอาจไม่มีเลย หรือที่มีก็ยังไม่ถึงรอบจ่าย ดังนั้นคุณมองหาลูกค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ อาชีพฟรีแลนซ์ หมายความว่าเขาจะเลิกจ้างคุณเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นต้องหาลูกค้าที่ไว้ใจในผลงานของคุณให้ได้มากกว่า 1 รายขึ้นไป ท่องไว้ กันดีกว่าแก้ มีสแปร์ดีว่าไม่มีนะจ๊ะ

 

เตรียมตัวเจอกับงานและลูกค้าสารพัดรูปแบบ

การทำงานที่ออฟฟิศ มีหลายฝ่าย หลายแผนกแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน แต่พอทำฟรีแลนซ์ทุกอย่างล้วน All in คุณ….. ไม่ว่าจะรับสารพัดบรีฟ ประชุมงาน ส่งงาน แก้งาน สิ่งเหล่านี้ที่จะทำให้คุณทั้งปวดหัวทั้งเครียด ทั้งกังวลใจ แต่ไม่ว่ายังไงขอให้คุณพลิกความคิดว่า วิกฤติล้วนเป็นโอกาส การทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคุณเอง เวลารับค่าจ้างคุณไม่ต้องแบ่งใครให้มาช่วยใช้ จบงานเมื่อไหร่ มีแต่ได้กับได้

 

ใครว่าทำงานที่บ้าน สวยๆ เก๋ๆ เสมอไป

ตื่นเช้า สูดอากาศบริสุทธิ์ จิบกาแฟนั่งชิล คิดอะไรไปเพลินๆ หยุด!!!…..ก่อน ตอนนี้คุณต้องลบวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์ออกไปจากจินตนาการ  เพราะในโลกความจริง สิ่งเหล่านี้มันไม่มีจริงหรอก ไหนจะต้องนอนดึก ตื่นเช้าเพื่อทำงานให้ทัน ไหนจะลูกค้าขอเปลี่ยนแบบ ส่งใหม่ ไฟล์หาย ลืมเซฟ สารพันปัญหาที่รอการแก้ไขจากมนุษย์สโลว์ไลฟ์อย่างคุณอยู่ เตรียมใจไว้ได้เลย

 

ไม่ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจลาออก มาก้าวสู่ชีวิตอิสระแบบฟรีแลนซ์ เราเชื่อว่ามันต้องมากพอและควรค่าแก่การตัดสินใจครั้งใหญ่ของคุณ

เมื่อพร้อมแล้วก็ลุยเลย อิสระจากการทำงานรออยู่ข้างหน้า เมื่อคุณพร้อมสู้กับปัญหา ตอนนี้อาจจะมีลูกค้ากำลังมองหาฟรีแลนซ์แบบคุณอยู่ก็เป็นได้

 

The post เรื่องจริงที่ต้องรู้และเตรียมใจ หากคิดจะก้าวสู่วิถีฟรีแลนซ์เต็มตัว appeared first on Smart SME.

แนะนำ เส้นทางกลับกรุงเทพฯ แบบโปร่งๆทั่วภูมิภาค หลังหยุดยาว

หลังเที่ยวพักผ่อนหรือกลับต่างจังหวัด พบปะสังสรรค์กับญาติสนิทมิตรสหายในช่วงหยุดยาว คนทำงานในเมืองหลวงอย่างเราๆก็ต้องกลับเข้าสู่โหมดทำงานต่อ ซึ่งระหว่างกลับหลายคนอาจต้องใช้เวลานานมากขึ้นเพราะปัญหาการจราจรที่ติดขัด เราจึงขอแนะนำ เส้นทางกลับกรุงเทพฯ ที่แสนปลอดโปร่งทั่วภูมิภาคมาให้เลือกใช้เส้นทางกัน

กรุงเทพฯ – ภาคเหนือ

เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป รังสิต (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.อยุธยา – จ.อ่างทอง – จ.สิงห์บุรี (ทางหลวงหมายเลข 32 ถนนสายเอเชีย) – อ.มโนรมย์ (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์

เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป จ.นนทบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 บางบัวทอง – สุพรรณฯ) – จ.สุพรรณบุรี (ทางหลวงหมายเลข 340 สุพรรณฯ – ชัยนาท) – จ.ชัยนาท (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครสวรรค์

เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป รังสิต – อ.วังน้อย – จ.สระบุรี – จ.ลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – อ.ตากฟ้า (ทางหลวงหมายเลข 11) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดพิษณุโลก

กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.สระบุรี (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – อ.ม่วงค่อม (ทางหลวงหมายเลข 205) – อ.ท่าหลวง (ทางหลวงหมายเลข 2256) – อ.ด่านขุนทด (ทางหลวงหมายเลข 2148)– อ.ขามทะเลสอ (ทางหลวงหมายเลข 2068) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.วังน้อย (ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน) – จ.สระบุรี – อ.ปากช่อง – อ.สีคิ้ว (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป จ.นครนายก (ทางหลวงหมายเลข 305) – อ.บ้านนา (ทางหลวงหมายเลข 3051, 33) – อ.แก่งคอย (ทางหลวงหมายเลข 3222) – อ.ปากช่อง (ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

เส้นทางที่ 4 จากกรุงเทพฯไป จ.ฉะเชิงเทรา (ทางหลวงหมายเลข 314) – อ.พนมสารคาม – อ.กบินทร์บุรี – อ.วังน้ำเขียว – อ.ปักธงชัย (ทางหลวงหมายเลข 304) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา

กรุงเทพฯ – ภาคตะวันออก

เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.ชลบุรี (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 หรือมอเตอร์เวย์)

เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.บางปะกง (ทางหลวงหมายเลข 34 ถนนบางนา-ตราด) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดชลบุรี โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท

เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป อ.พนัสนิคม – จ.ชลบุรี (ทางหลวงหมายเลข 304)

กรุงเทพฯ – ภาคใต้

เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯไป จ.สมุทรสาคร – จ.สมุทรสงคราม (ทางหลวงหมายเลข 35) – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯไป อ.สามพราน – อ.นครชัยศรี – จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เส้นทางที่ 3 จากกรุงเทพฯไป ถนนบรมราชชนนี (ทางหลวงหมายเลข 338 ปิ่นเกล้า – นครชัยศรี) – อ.นครชัยศรี –จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – แยกวังมะนาว – จ.เพชรบุรี (ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โดยกรมทางหลวง แนะนำผู้ใช้เส้นทางว่าไม่ควรขับรถเร็วเกินกำหนด เปิดไฟหน้า คาดเข็มขัด และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

สอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างการเดินทาง สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย 24 ชั่วโมง) ศูนย์บริการข้อมูลทางหลวงพิเศษ (มอเตอร์เวย์) 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193

The post แนะนำ เส้นทางกลับกรุงเทพฯ แบบโปร่งๆทั่วภูมิภาค หลังหยุดยาว appeared first on Smart SME.

9 ยุทธวิธียกระดับความเชื่อมั่น…

ความมั่นใจ เมื่อต้องพูดต่อหน้าผู้คนมากมาย หากคุณไม่เตรียมพร้อมให้ดีอาจมีสะดุด หรือทำภารกิจล้มไม่เป็นท่า ความเชื่อมั่นในตนเองอย่างพอดี ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของคุณดูดีขึ้นเป็นกอง

 

หากคุณไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เรามี 9 ยุทธวิธีสร้างความเชื่อมั่น…มาฝากคุณ

 

  1. รู้ และเชื่อมั่นในสิ่งที่จะถ่ายทอด

รู้จัก เข้าใจในเรื่องที่จะพูด ถ้าไม่รู้ให้อ่าน ค้นคว้าเพิ่มเติม นอกจากรู้และเข้าใจแล้วทางที่ดีจะต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนจะกล่าวด้วย
ความเชื่อมั่นเกิดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือของบุคคลที่เราได้รับรู้มา ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการทำให้ผู้พูด และผู้ฟังเชื่อมั่นไปด้วยกัน

  1. รู้จักบทบาทตัวเอง

The Show Must Go On บอกตัวเองว่า วันนี้เรามาทำหน้าที่ตามบทบาทต่างๆ เช่น ครู วิทยากร พิธีกร ผู้ถ่ายทอด ฯ ซึ่งผู้ฟังก็ต้องยอมรับบทบาทของตนด้วย เมื่อเราคิดว่าเราเล่นบทบาทผู้พูด ย่อมต้องมีผู้ฟัง ฉะนั้น เมื่อก้าวขึ้นสู่เวทีเราจะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะเราได้เตรียมเรื่องไว้อย่างดีกว่าหลายๆ คนที่ฟังอยู่ด้านหน้าเรา

  1. เชื่อมั่นในตนเอง

สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกฝน ฝึกหัดได้จากการแสดงออกทางบุคลิกภาพ กิริยาท่าทาง และการแสดงออก คือ การบอกกับตัวเองว่า เราจะแสดงออกอย่างเชื่อมั่น โดยการพูดด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่เรารู้ และมีประสบการณ์ พูดเต็มเสียง จริงจัง จูงใจ เหมาะสมในเวลาเดียวกัน เดินเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ยืนอกผายไล่ผึ่ง ไม่ใช่ยืนหลังค่อมห่อไหล่คอเอียง ฯลฯ

  1. เตรียมบันทึก หรือโน้ตย่อไว้

ผู้ถ่ายทอดที่ดีไม่ควรอ่านจากต้นฉบับในขณะที่พูด ทางที่ดีควรจะมีโน้ตย่อ หรือแผ่นใสบรรจุข้อความเป็นแนวคิดรวบยอดไว้แล้ว

  1. แต่งกายเหมาะสม

บุคลิกดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่งกายดีจะมีความเชื่อมั่น ถ้าวันที่ต้องก้าวขึ้นสู่เวทีแล้วใส่ถุงน่อง ถุงเท้าขาด กระโปรงหรือกางเกงขาด สารพัดจะขาดแบบนี้ จะมีมาดนักพูดอยู่หรือ?

  1. ควรเตรียมเนื้อหาข้อมูลสำรองไว้

ถ้าคุณรู้ว่าเขาจะให้เราพูด 30 นาที ควรเตรียมเรื่องเผื่อไว้สัก 1 ชั่วโมง เพราะบางท่านสามารถพูดจบไปก่อนเวลา 30 นาที เพราะขาดการเตรียมเนื้อหาสำรองไว้

  1. บอกกับตัวเองว่า “ต้องสู้ถึงจะชนะ”

ก่อนขึ้นเวทีต้องบอกกับตัวเองว่า “ยังไงๆ วันนี้ฉันขอสู้ตาย” ไม่ใช่บอกกับตัวเองว่า “ขึ้นเวทีวันนี้สงสัยตายแน่ๆ” ถ้าคิดแบบนี้ก็ตายตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีแล้ว

  1. ก่อนเริ่มทำหน้าที่ควรเริ่มทำความคุ้นเคยกับสถานที่ก่อน

ควรสำรวจพื้นที่ ทำความคุ้นเคยกับด้านหน้าเวที ไมโครโฟน เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเมื่อใกล้เวลา ก็ควรจะพูดคุยกับผู้ฟังก่อน เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรได้

9.พูดเสียง ชัดเจน

ถ้าหากพฤติกรรมเราพบว่า เวลาแสดงในการพูดกลัวเสียงสั่น เสียงแหบ เสียงหาย ให้ใช้วิธีพูดเสียงดังไปเลย แต่ไม่ใช่ตะโกน

 

The post 9 ยุทธวิธียกระดับความเชื่อมั่น… appeared first on Smart SME.

เทรนด์ของ การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของมนุษย์ออฟฟิศ 2018

เทรนด์ของ การทำงานร่วมกัน (Collaboration) พนักงานรู้สึกสะดวกใจมากขึ้นที่จะพูดคุยกับทีมงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับการสั่งงานด้วยเสียงพูดกับแมชชีน รวมถึงการพูดคุยกับโทรศัพท์ ระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และในปี 2018 ผู้คนจะเริ่มพูดคุยกับห้องประชุม และในไม่ช้าก็จะพูดคุยโต้ตอบกับทีมงานที่เป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificially Intelligence หรือ AI)

ผลการศึกษาของซิสโก้เผยว่า 95% ของคนทำงานในออฟฟิศ (จาก 2,270 คนที่ตอบแบบสอบถาม) “เห็นด้วย กับการใช้ระบบ AI เพื่อช่วยในเรื่องการประชุม ขณะที่ 57% เชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การที่ผู้ใช้ให้การยอมรับเพิ่มมากขึ้นจะทำให้นวัตกรรม AI เข้าสู่ทีมงานได้รวดเร็วขึ้น ซิสโก้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ AI ในปี 2561 รวมถึงบริษัทอื่นๆ ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ก็มีแผนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน ปีนี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับบุคลากรที่คุ้นเคยกับ AI

นอกจากนั้น ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้พบกับเทคโนโลยี Ambient AI โดยโปรแกรมผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับการประชุมจะทำงานในส่วนของแบ็คกราวด์ เพื่อเรียนรู้วิธีการจัดตั้งทีมงานและการทำงานร่วมกัน เทคโนโลยีประเภทนี้ยังคงอยู่ในช่วงทดลอง แต่ดูเหมือนว่าผู้ใช้จะพร้อมใช้งานเทคโนโลยีนี้ ถ้าหากปัญหาเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม

การเจาะระบบคลาวด์ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางในสถาปัตยกรรมของระบบการทำงานร่วมกัน

การเติบโตของเครื่องมือที่รองรับการทำงานเป็นทีมบนระบบคลาวด์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปนับเป็นเรื่องดี เพราะช่วยเพิ่มความสะดวกในการประสานงานร่วมกัน แต่เครื่องมือบางอย่างอาจไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เพียงพอ และอาจส่งผลให้องค์กรธุรกิจได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

บริษัทไม่อาจต้านทานกระแสที่ผู้ใช้นำเอาแอพบริการ และอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงาน และนั่นก็เป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ในปี 2018 จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับองค์กรธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยจะช่วยให้บุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยมีเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบและควบคุมข้อมูล ซึ่งจะเพิ่มเติมความปลอดภัยให้กับผลิตภัณฑ์ส่วนตัวของผู้ใช้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการควบคุมอย่างสมบูรณ์หรือการล็อคสเปคของอุปกรณ์เหมือนกับเครื่องมือรักษาความปลอดภัยรุ่นแรกๆ

ในการควบคุมระบบรักษาความปลอดภัย องค์กรธุรกิจในปี 2018 อาจหันมาพิจารณาโซลูชั่นการทำงานร่วมกันบนไฮบริดคลาวด์หรือแบบติดตั้งภายในองค์กร (ที่ซิสโก้ นี่คือหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนา Cisco Spark เพื่อให้ได้ใบรับรองตามมาตรฐาน ISO 27001)

The post เทรนด์ของ การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของมนุษย์ออฟฟิศ 2018 appeared first on Smart SME.

งานบริการลูกค้าที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับ SME ต้องเลือกใช้ AI เท่านั้น

AI เข้ามาช่วยสร้างอะไรให้กับงานบริการลูกค้าในธุรกิจ SME ได้บ้าง

สร้างประสบการณ์ดิจิตอลสำหรับลูกค้า

แชทบ็อท (Chatbot) คือวิธีการที่พบเห็นได้มากที่สุดในการปรับใช้เทคโนโลยี AI ในงานบริการลูกค้าของบริษัทต่างๆ ในปัจจุบัน ผลการศึกษาของ BT ชี้ว่า เกือบ 80% ของลูกค้าที่ตอบแบบสอบถามยอมรับการใช้แชทบ็อทสำหรับการตอบข้อซักถามง่ายๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งสำคัญก็คือ จะต้องออกแบบและนำเสนอแชทบ็อทที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างลงตัว ทุกวันนี้หลายๆ บริษัทกำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้งาน โดยมีการทดสอบไอเดียต่างๆ รับฟังความเห็นจากลูกค้า และปรับปรุงแก้ไขระบบให้ดียิ่งขึ้น หลังจากที่ทดลองใช้งานนานหลายเดือน องค์กรธุรกิจก็จะสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับวิธีการใช้แชทบ็อทอย่างเหมาะสมเพื่อให้บริการแก่ลูกค้า

การกำหนดเส้นทางอย่างชาญฉลาด (Intelligent Routing)

AI จะช่วยรองรับการกำหนดเส้นทางอย่างชาญฉลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยอาศัยการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการของลูกค้าในขั้นตอนต่างๆ ตัวอย่างเช่น ระบบจะสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Internet of Things (IoT) และติดต่อกับลูกค้าในลักษณะเชิงรุก ทั้งนี้กว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกพอใจที่องค์กรธุรกิจสังเกตเห็นว่าเขากำลังประสบปัญหา และติดต่อเขาโดยตรงเพื่อให้ความช่วยเหลือ ส่วนด้านอื่นๆ ที่อาจได้รับประโยชน์ได้แก่ การคาดการณ์ การจัดสรรบุคลากร การตรวจจับ และป้องกันการฉ้อโกง

ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

บริษัทไม่ควรมองว่าเทคโนโลยี AI นำไปสู่การลดจำนวนพนักงานฝ่ายบริการลูกค้า เพราะคุณประโยชน์ที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้ก็คือ การช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่พนักงาน โดยระบบงานอัตโนมัติที่ใช้ AI จะช่วยให้พนักงานแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ใช้เวลาน้อยลงในการตอบข้อซักถามทั่วไป และเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า และตรงจุดนี้เองที่พนักงานจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถใช้ AI เพื่อจัดการข้อมูลประจำตัวของลูกค้า ตรวจสอบข้อมูลเชิง รายงาน กรอกแบบฟอร์มอัตโนมัติ และทำงานอื่นๆ อีกมากมาย

The post งานบริการลูกค้าที่จะสร้างความได้เปรียบให้กับ SME ต้องเลือกใช้ AI เท่านั้น appeared first on Smart SME.

รู้หรือไม่ ภัยไซเบอร์ ก็คุกคามสัตว์เลี้ยงของคุณได้ แนะวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงยุคดิจิทัลให้ปลอดภัย

แคสเปอร์สกี้ แลป ร่วมกับบริษัทวิจัย Opeepl สำรวจเจ้าของสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนจำนวน 7,740 คน ใน 15 ประเทศทั่วโลก เพื่อศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีต่อความปลอดภัยของสัตวเลี้ยง ปรากฏว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงในบ้าน ทุกๆ หนึ่งในห้าคนจะใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อคอยสอดส่อง หรือเพื่อดูแลความปลอดภัยสัตว์เลี้ยงของตน และพบว่าผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จำนวน 39% กลับก่อความเสี่ยงเรื่อง ภัยไซเบอร์ ต่อสัตว์เลี้ยงหรือต่อผู้เป็นเจ้าของเสียเอง

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แคสเปอร์สกี้ แลป ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจุดบอดในอุปกรณ์ติดตามหมาแมวที่ผู้ร้ายไซเบอร์สามารถใช้เป็นช่องลักลอบขโมยข้อมูลที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่ขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของก็ได้ ในการวิจัยล่าสุดพบว่าเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของหมาแมวนั้นมีมากกว่าเครื่องติดตามตัว (trackers) อุปกรณ์ที่ถูกพูดถึงในหมู่ผู้เข้าร่วมการสำรวจมากที่สุดคือ เว็บแคมสำหรับดูพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่มีเกมให้สัตว์เลี้ยงเล่น ของเล่นดิจิทัลฟีดเดอร์ให้อาหารอัตโนมัติ/ตู้กินน้ำ และอื่นๆอีกมากมาย

อย่างไรก็ตามอะไรเป็นตัวรับรองว่าตัวควบคุมอุณหภูมิจะไม่ทำงานบกพร่องจนน้ำในตู้ปลาร้อนเกินไป หรือเครื่องให้อาหารอัตโนมัติที่ไม่ตอบสนองต่อคำสั่งจะไม่ปล่อยให้แมวหิวโหย กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่น่าเศร้าและทรมานทั้งต่อสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ จากการสำรวจข้อมูลพบตัวอย่างว่า จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้กับสัตว์เลี้ยงจำนวนครึ่งหนึ่งนั้นต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตได้ ย่อมเป็นช่องทางที่ผู้ร้ายไซเบอร์ใช้ได้เช่นกัน ผู้เข้าสำรวจ 14% เผยว่าอุปกรณ์ของพวกเขาเคยถูกแฮกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ปัญหาอื่นที่เคยประสบได้แก่ อุปกรณ์หยุดทำงานหรือเริ่มมีอาการผิดปกติ ซึ่งผู้เข้าร่วมสำรวจส่วนใหญ่แจ้งว่าเป็นความเสี่ยงถึงชีวิตของสัตว์เลี้ยง (32%) สุขภาพ (32%) สุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยง (23%) และแม้แต่สุขภาพจิตของเจ้าของเอง (19%)

เดวิด เอมม์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยอาวุโส แคสเปอร์สกี้ แลป กล่าวว่า เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตของเรารวมทั้งสัตว์เลี้ยงเพื่อนรักขนปุยของเราสะดวกสบายขึ้น เทคโนโลยีอาจนำมาใช้ป้องกันสัตว์เลี้ยงให้ปลอดภัย ดูแลและทำให้สัตว์เลี้ยงสบายตัวได้ แต่ก็มีความเสี่ยงในการใช้งานเช่นเดียวกับอุปกรณ์ดิจิทัลทั่วไป ที่มีข้อบกพร่อง เสียพัง รวน หรือถูกแฮกได้ทั้งนั้น เพื่อเลี่ยงผลอันไม่เป็นที่พึงประสงค์ จึงต้องมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยแบบง่ายๆ และมีแผนสำรองกรณีที่อุปกรณ์ชำรุด ทำงานบกพร่อง หรือโดนแฮก และแน่นอนว่าจำเป็นต้องเลือกซื้ออุปกรณ์ดิจิทัลอย่างรอบคอบระมัดระวัง เน้นสวัสดิภาพความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของคุณและครอบครัว

ข้อแนะนำเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของคุณจะปลอดจาก ภัยไซเบอร์

หากคุณเป็นเจ้าของสมาร์ทโฮม คุณควรจัดการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อการดูแลสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในบ้านของคุณ

ก่อนตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ใช้งาน ควรให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องช่องโหว่ต่างๆ ได้ทางออนไลน์ ซึ่งหาได้ไม่ยาก เนื่องจากส่วนมากจะได้รับการทดสอบวิจัยมาก่อนที่จะวางตลาด ดังนั้ จึงไม่น่าจะยากที่จะตรวจสอบว่าข้อบกพร่องที่มีนั้นได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง ทางเลือกที่ดีที่สุด คือซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการอัพเดทมาแล้วหลายครั้ง

ก่อนเริ่มต้นใช้งาน ควรเปลี่ยนพาสเวิร์ดที่ติดมากับอุปกรณ์ให้เป็นพาสเวิร์ดที่แข็งแกร่งและซับซ้อน

ไม่ควรให้คนนอกแอคเซสเข้าอุปกรณ์ เว้นเสียแต่ว่ามีความจำเป็นเฉพาะด้านเท่านั้น

ปลดการต่อเชื่อมทุกประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอุปกรณ์นั้น

หมั่นอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอ

The post รู้หรือไม่ ภัยไซเบอร์ ก็คุกคามสัตว์เลี้ยงของคุณได้ แนะวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงยุคดิจิทัลให้ปลอดภัย appeared first on Smart SME.

เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง เน้นคุณภาพ ไม่ต้องเป็นแฟรนไชส์ สนใจซื้อไปขายได้เลย

สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งผลิตเฉาก๊วยเกรดพรีเมียมไม่ควรพลาดแบรนด์นี้ เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง เพียงแค่ระยะเวลาเริ่มต้นธุรกิจไม่นานมียอดจำหน่ายมากกว่า 2,000 ตันต่อปี เจ้าของธุรกิจ คือ คุณทินพันธ์ วัฒนอัครโภคิน ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจ เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง

เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง

จากการได้ทานเฉาก๊วยนมสดเป็นครั้งแรกและเกิดความชื่นชอบอย่างมากจึงอยากจะทำธุรกิจนี้ โดยเริ่มต้นจากการหาวัตถุดิบเนื้อเฉาก๊วยอย่างเดียว แต่พบว่าส่วนใหญ่มักจะขายรวมกับน้ำเชื่อมหรือเนื้อเฉาก๊วยไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ

เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง

จึงเริ่มมองหาสูตรเรียนการทำเฉาก๊วยเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี ที่ได้ลองผิดลองถูก ต้มเฉาก๊วยทุกวัน ได้บ้าง ทิ้งบ้าง แจกให้ลูกค้าร้านข้าวมันไก่ของตนได้ลองทาน ซึ่งหมดค่าใช้ไปเป็นมูลค่ากว่าหลักแสนบาท เพื่อให้ลูกค้าที่ได้ลองทาน ติชม แนะนำ และนำมาปรับปรุง

จนได้สูตรที่ลูกค้าส่วนใหญ่ชื่นชอบ ได้เนื้อเฉาก๊วยเหนียวหนึบหนับ จนเริ่มทำขายเรื่อยมาช่วงแรกขายได้วันละ 5 กิโลกรัมเท่านั้น ราคากิโลกรัมละ 55 บาท จึงเริ่มติดต่อร้านขายส่งนำไปฝากขาย เพื่อเพิ่มยอดจำหน่ายมากขึ้น

เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง

แต่พบว่าร้านขายส่งหลายแห่งยังคิดว่าสินค้าเราไม่ตอบโจทยเขาเท่าที่ควร ซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่เชื่อใจในคุณภาพ และส่วนหนึ่งมาจากเฉาก๊วยของตนยังไม่มีแบรนด์ จึงได้ทำการสร้างแบรนด์ เฉาก๊วยเต็งหนึ่ง ขึ้น ทำการตลาดออนไลน์ผ่าน facebook จนเริ่มมีคนให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น

แต่ยังติดที่คนที่เข้ามาสอบถามไม่รู้รสชาติ ตนจึงได้ทำการส่งเฉาก๊วยผ่านทาง EMS ให้กับผู้ที่สนใจและทำการสอบถามเข้ามาได้ลองรับประทาน จนกลายเป็นการบอกต่อปากต่อปาก และได้รับความนิยมมาจนถึงตอนนี้

เฉาก๊วย เต็งหนึ่งสำหรับเฉาก๊วยเต็งหนึ่งจำหน่ายในหลายรูปแบบ (ราคาส่ง) มีจำหน่ายตั้งแต่ราคา 10 บาท ไปถึง 100 บาท แบ่งเป็นหลายรูปแบบ คือ

  • ถ้วยฝาฉีก 1 – 49 ถ้วย ราคาถ้วยละ 10 บาท
  • เนื้อเฉาก๊วยบรรจุถุง แบบธรรมดา เริ่มต้นที่ กิโลกรัมละ 60 บาท
  • แบบพรีเมียม กิโลกรัมละ 70 บาท
  • เฉาก๊วยโบราณ กิโลกรัมละ 100 บาท
  • เฉาก๊วยกระป๋องน้ำเชื่อม 1 – 99 กระป๋อง ราคากระป๋องละ 20 บาท
  • เฉาก๊วยกระป๋องนมสด 1 – 29 กระป๋อง ราคากระป๋องละ 30 บาท
  • นำเฉาก๊วย 1 – 5 โหล ราคาโหลละ 100 บาท
  • น้ำเชื่อมคาราเมลรสดั้งเดิม ขวดละ 95 บาท รสอื่นๆ ขวดละ 100 บาท

เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง

ปัจจุบันยอดผลิตและจำหน่าย เฉาก๊วยเต็งหนึ่ง มากกว่า 2,000 ตัน ต่อปี และยังคงมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำเร็จของธุรกิจเฉาก๊วยเต็งหนึ่งหลักเกิดจากคุณภาพของสินค้า มีลักษณะเหนียวหนึบแตกต่างจากเฉาก๊วยอื่นๆ ทำให้มีรสชาติที่อร่อย แตกต่างจากเนื้อเฉาก๊วยตามท้องตลาดทั่วไปอย่างชัดเจน ทำให้ได้รับความนิยมเรื่อยมา

สำหรับผู้ที่สนใจ เฉาก๊วยเต็งหนึ่ง สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook : เฉาก๊วยเต็งหนึ่ง

บทความแฟรนไชส์อื่นๆ คลิก

The post เฉาก๊วย เต็งหนึ่ง เน้นคุณภาพ ไม่ต้องเป็นแฟรนไชส์ สนใจซื้อไปขายได้เลย appeared first on Smart SME.

แฟรนไชส์ Baboo bear milk tea ชาไข่มุก สไตล์ญี่ปุ่น อีกหนึ่งแบรนด์น่าลงทุน

ร้านชานมไข่มุก เป็นอีกหนึ่งธุรกิจฮอตฮิตของยุคนี้ก็ว่าได้ ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่สามารถทำกำไรได้ดี แต่ละแบรนด์จะสร้างความโดดเด่นแตกต่างกันไป อย่างเช่นร้าน “บาบูแบร์” Baboo bear milk tea ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครที่การตกแต่งร้านเป็นสไตล์คาเฟ่ญี่ปุ่น มีโลโก้รูปหมีหน้าตาน่ารัก ชวนสะดุดตา สามารถเรียกความสนใจให้ลูกค้ามาลองชิมได้เป็นอย่างดี

Baboo bear milk tea

จุดเริ่มต้นของร้านนี้มาจาก “คุณปรียาพร สำเร็จ เจ้าของธุรกิจผู้หลงใหลในชานมไข่มุกเป็นชีวิตจิตใจ ที่ออกตะเวนไปชิมชานมทั่วทุกแห่งทั้งในและต่างประเทศ จนเกิดเป็นไอเดียมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง เมื่อปี 2556        Baboo bear milk tea

จุดเด่นของร้านบาบูแบร์ ที่สะดุดตามากกว่าร้านชานมไข่มุกทั่วไปคือ ‘หมีบาบู’ ซึ่งเป็นเสมือนมาสคอตของร้าน ที่ช่วยสร้างสีสันและเรียกลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญไม่แพ้รูปแบบร้านก็คือ เรื่องของรสชาติ

โดยทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบชั้นดีมีคุณภาพดีนำเข้าจากใต้หวัน ซึ่งเป็นประเทศแม่ของชานมไข่มุกก็ว่าได้ ใช้ใบชาสูตรพิเศษที่หอมเข้มข้นไม่เหมือนใคร ส่วนไข่มุกเองก็ทำออกมาได้เหนียวหนุบหนับเคี้ยวเพลินมาก

Baboo bear milk tea

เมนูของร้านแน่นอนว่าพระเอกก็คือ ชานมไข่มุกหลากหลายรสชาติ ทั้งเผือก ช็อคโกแลต เมล่อน แอปเปิ้ล กีวี่ องุ่น ฯลฯ ราคาแก้วละ 30 บาท นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมปังปิ้ง สังขยา บิงชู กาแฟ นมสด และเฟรนฟรายส์

Baboo bear milk tea

สำหรับรูปแบบการลงทุนแฟรนไชส์ มีทั้งหมด 4 แพ็คเกจ ดังนี้
1. บาบูแบร์มินิแบบไม่มีเคาน์เตอร์ ราคา 39,900 บาท
2. แบบมีเคาน์เตอร์ ขนาด 1.5 เมตร ราคา 54,900 บาท
3. แบบมีเคาน์เตอร์ ขนาด 2.0 เมตร ราคา 64,900 บาท
4. ร้านค้าสำเร็จทรงแปดเหลี่ยม ขนาด 3×3 เมตร พร้อมบิ้วท์อินด้านใน ราคา 189,900 บาท

Baboo bear milk tea

โดยทั้ง 4 รูปแบบ จะได้รับวัตถุดิบและอุปกรณ์พร้อมขาย ซึ่งจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามราคา อาทิเช่น  ไข่มุก ครีมเทียม ใบชา ผงผสมชานม ไซรัปผลไม้ ผงพุดดิ้ง เครื่องซีล ถังชาเก็บความเย็น และกระปุกใส่ท้อปปิ้ง เป็นต้น สำหรับผลตอบแทนกำไรค่อนข้างสูง สามารถคืนทุนได้ในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือนขึ้นอยู่กับทำเล

สำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจ สามารถสอบดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.baboobear.com

บทความแฟรนไชส์อื่นๆ คลิก

The post แฟรนไชส์ Baboo bear milk tea ชาไข่มุก สไตล์ญี่ปุ่น อีกหนึ่งแบรนด์น่าลงทุน appeared first on Smart SME.