Wednesday, October 31, 2018

2 อาชีพเสริม ทำเงินไว ในเดือนพฤศจิกายน 2561


via IFTTT

แรงงานเผย 3 สาขาป.ตรี จบมาตกงานมากที่สุด | ข่าวค่ำทันโลก | 31 ต.ค. 2561


via IFTTT

“ทรายแมว” สินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงมาแรงในรัสเซีย | ข่าวค่ำทันโลก | 31 ต.ค. 2561


via IFTTT

18 เทคนิคการขายที่ใช้ได้ดีกับลูกค้าทุกสถานการณ์

สำหรับผู้ประกอบการ หรือขายสินค้า หากอยากขายดี ต้องมีเทคิค อย่างน้อยๆ ก็ต้องรู้เขา รู้เรา เช่นรู้ว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบอะไรแบบไหน เพื่อที่จะได้ปรับรูปแบบการขายให้ตอบโจทย์ 

วันนี้ เรามี 18 เทคนิคการขายที่สามารถใช้กับลูกค้าในหลายรูปแบบและหลายสถานการณ์ มาฝากกัน…อันได้แก่เทคนิค ดังต่อไปนี้ครับ

เทคนิคที่ 1 : รู้จักตัวเอง

            คนเรามักจะคิดว่าเรารู้จักตัวเองดี แต่จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่มักไม่รู้จักตัวตนของตัวเอง หรือยังไม่สามารถเข้าใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วคิดอะไรอยู่ เช่น ถ้าอยากขายบ้านที่อยู่ปัจจุบัน เราคิดแล้วหรือยังว่าถ้าเขาจะมาซื้อแล้วขอเข้าอยู่อาศัยทันที เราจะไปอยู่ที่ไหน หรือ บอกราคาขายไปแต่ไม่มีราคาสำหรับต่อรองในใจเลยแถมบางคนบอกขายบ้านเพราะต้องการเช็คราคานะไม่ใช่ต้องการขายจริง ผมเคยเจอบ้านอยู่หลังหนึ่งทุกครั้งที่ผัวเมียคู่นี้ทะเลาะกัน วันรุ่นขึ้นต้องมีป้ายประกาศขายบ้านติดหน้าบ้านเสมอ (ไม่ทราบผัวหรือเมียเป็นคนติดป้าย) อย่างนี้ไม่ใช่การตั้งใจจะขายบ้านจริงๆ แต่เป็นเรื่องการประชดประชันมากกว่า การรู้ตัวเองคือต้องรู้ว่าเรามีวัตถุประสงค์อย่างไรอันจะมีผลในการตั้งราคาขายและกลยุทธ์ในการต่อรองอื่นๆด้วย

ดังนั้นต้องรู้ตัวเองก่อน เพราะหากเขาต่อรองราคาแล้วเกิดขายได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือถ้าเราต้องการทดสอบราคาควรตั้งราคาสูงเข้าไว้เพราะอย่างไรเราก็ไม่ขายอยู่แล้ว ถ้าให้พูดกันตรงๆ การเจรจาต่อรองมีวัตถุประสงค์ลึกๆ แล้วก็คือการต้องการจะตรวจสอบราคาสินค้าของตัวเอง จะได้รู้ว่าเราต้องเล่นบทไหนครับ

 เทคนิคที่ 2 : รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตน

รู้จักองค์กรหรือบริษัทของตัวเองว่าการที่เขาส่งเราให้ไปต่อรองราคาเรามีสิทธิ์ลดได้แค่ไหน สมมุติเป็นเซลส์แมนเรามีสิทธิ์ลดราคาได้แค่ไหน และไม่ควรไปลดราคาเกินอำนาจที่องค์กรมอบหมาย เพราะถ้าลดมากไปคงต้องเข้าเนื้อตัวเองหรือโดนเจ้านายเล่นงานแน่ครับ

เทคนิคที่ 3 : รู้จักสินค้าหรือบริการของตนที่จะขาย

ทำความรู้จักสินค้าและบริการของตัวเองว่า “วันนี้เราจะเรียกราคาได้แค่ไหน” โดยเราต้องรู้อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ความต้องการและราคาสินค้าในตลาดว่าเป็นที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งต้องดูด้วยว่าสินค้าของเราอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลงของธุรกิจประเภทนี้  เช่น หากเราจะขายสินค้าพืชไร่เกษตรที่เป็นที่ต้องการของตลาดตอนนี้ และน้ำมันดีเซลเพื่อการขนส่งวันนี้ปรับราคาสูงขึ้น เราก็ขึ้นราคาสินค้าได้เยอะเพราะตลาดต้องการของเรายังไงก็ต้องสู้ราคาแถมยังมีข้ออ้างเรื่องราคาน้ำมันอีก

เทคนิคที่ 4: รู้จักลูกค้า

ใครคือลูกค้าของเรา? เป็นคำถามที่สิ่งสำคัญมากครับ ในฝั่งของการตลาดเขาจะมีการแบ่งตลาดหรือกลุ่มลูกค้าออกเป็นส่วนๆเรียกว่า “เซกเมนท์เทชั่น” (Segmentation) สินค้าบางตัวทางการตลาดแบ่งเซกเมนท์ตามอายุ  หรือแบ่งตามเพศก็มี เช่นเครื่องดื่มชูกำลังนอกจากแบ่งตามอาชีพแล้วช่วงหลังก็แบ่งตามเพศด้วย อย่างผู้หญิงจะไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังจากขวดสีชาจะทำให้ดูเหมือนกรรมกรจนเกินไปผู้ผลิตจึงผลิตใส่ขวดใสๆและปรับสีให้สวยเราเลยเห็นเครื่องดื่มแนวใหม่ที่มีสีแดง สีฟ้า หรือสีเขียว วางอยู่ตามตู้แช่ในตลาดขณะนี้ครับ

เทคนิคที่ 5 : รู้จักคู่แข่ง

ส่วนนี้ผมปรับมาจากหลักพิชัยสงครามของซุนหวู่ เช่นหากคู่แข่งเข้าตลาดไหนถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าไปเข้าตลาดซ้ำกับเขาเพราะเรากำลังเดินตามรอยเท้าคู่แข่งอาจถูกคู่แข่งลวงให้หลงทางได้ มิหน่ำซ้ำยังมีตลาดใหม่อื่นๆให้ทำอีกมากแต่เรากลับมามัววิ่งตามคู่แข่ง  จงสำรวจหาสถานที่เพื่อคุมตลาดใหม่เพราะยิ่งถ้าต้องรบกับคู่แข่ง  ในที่สุดผู้ซื้อจะได้เปรียบเพราะต่างต้องแข่งกันลดราคาให้ผู้ซื้อ  ซึ่งรบกันยังไงเราก็มีแต่เสียเปรียบครับสู้เลี่ยงไปเข้าตลาดอื่นดีกว่าถ้าเลือกได้

เทคนิคที่ 6 : รู้ถึงมูลเหตุจูงใจในการซื้อ

เราต้องรู้สาเหตุที่จะจูงใจลูกค้าว่า “ทำไมเขาถึงมาซื้อสินค้าของเรา” ตัวอย่าง การขายบ้าน เราต้องรู้ก่อนว่าบ้านเรามีอะไรจูงใจลูกค้าให้มาซื้อ อาจจะเป็นเพราะบ้านเราอยู่กลางเมืองจึงขายได้ราคาถึงแม้เป็นบ้านเก่าๆ ก็ตาม ดังนั้นมูลเหตุจูงใจในตัวอย่างนี้คือ “บ้านกลางใจเมือง” เมื่อเวลาเราเจรจากับลูกค้าให้เน้น “สถานที่” หรือ “โลเคชั่น” (Location) อย่าไปคุยประเด็นเรื่องบ้านสวยเพราะบ้านเราเก่ายังไงก็ไม่สวยหรอก เผลอๆ เขาซื้อไปแล้วอาจต้องไปทุบบ้านทิ้งทีหลังก็ได้

 เทคนิคที่ 7 : รู้ค่านิยมของผู้ซื้อ

        รู้ค่านิยมของผู้เจรจา อย่างคนต่างชาติมีค่านิยมอย่างหนึ่งคนไทยก็มีค่านิยมอีกอย่างหนึ่ง เช่น ทำไมคนญี่ปุ่นชอบเดินดูวัดเก่าๆ และคนไทยชอบไปต่างประเทศเพื่อไปดูโบสถ์ฝรั่ง ผมว่าคนเอเชียชอบดูสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับวัดวาอารามนะครับไม่เว้นแม้แต่ของฝรั่ง แล้วตอนผมไปเที่ยวประเทศออสเตรียก็ไปดูโบสถ์ของเขาเหมือนกันครับจนมีคุณยายฝรั่งแก่ๆ มาถามว่า “หลานมาดูอะไรกันเหรอ”  ผมเลยตอบไปว่าเป็นค่านิยมของคนเอเชียที่อยากมาเที่ยวดูโบสถ์เก่าแก่ของประเทศในยุโรป และเหมือนอย่างคนสมัยนี้ที่เวลาจะกินอะไรแปลกๆหรืออร่อยๆก็จะแชร์รูปเข้าไปในเฟซบุ๊ค (Facebook) เสมอให้เพื่อนอิจฉาเล่น

 เทคนิคที่ 8 : รู้ถึงรสนิยมของผู้ซื้อ

        คนส่วนใหญ่จะคิดว่าตัวเองมีรสนิยมสูง และมักจะมีรสนิยมสูงกว่ารายได้ที่ตัวเองได้รับเสมอ เช่น อยากได้ของดีมากแต่รายได้หรือจำนวนเงินที่ตั้งใจจะจ่ายนั้นน้อยหรือต่ำ หรือที่เขาเรียกกันว่า “รายได้ต่ำรสนิยมสูง” ซึ่งคนทั้งโลกเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดจึงมักตกเป็นเหยื่อของนักการตลาดในการเจรจาและส่งเสริมการขายที่โอ้อวดสินค้าว่าของเขาดีแต่ที่จริงแค่นำสินค้าคุณภาพต่ำมาหลอกขาย ดังนั้นถ้าเราเป็นพวกรสนิยมสมถะก็อยู่อย่างพอเพียงดีที่สุด จะได้สินค้าที่ดีในราคาสมเหตุสมผลครับ

 เทคนิคที่ 9 : รู้ถึงจังหวะในการนำเสนอ

         เราควรรู้จักจังหวะในการนำเสนอด้วยนะครับโดยต้องรู้ว่าจะนำเสนอในช่วงไหน เขามีหลักง่ายๆ คือ ให้ปฏิบัติการในช่วงที่ลูกค้าผ่อนคลาย ยกตัวอย่างเช่น เวลาไปตัดผม เราตั้งใจแค่ไปซอยผมแต่จบออกมาต้องเสียเงินเพิ่มหลายเท่าเพราะคนที่บริการสังเกตเห็นเราผ่อนคลายสบายใจจึงเสนอขายสินค้าอย่างอื่นในลักษณะแบบการขายพ่วง (Cross Selling) เขาเรียกการขายแบบสูตรของช่างทำผมเช่น ชวนเสริมคิ้ว  นวดหน้า ลบตีนกา ลบรอยเหี่ยวย่น สุดท้ายไปทำสปาเบ็ดเสร็จเลย

         สังเกตได้ทุกร้านทำผมจะเป็นแบบนี้ครับ บางทีตัดผมอยู่ชวนย้อมสีผมเฉยเลยบอกว่าเป็นสมัยนิยม “ลูกค้าที่ทำไปมีแต่คนทักว่าสวยหล่อขึ้นทุกคนเลยค่ะ” สุดท้ายจาก 250 บาทกลายเป็น 2,500-3,500 บาท นี่คือตัวอย่างของการรู้จังหวะที่เขาผ่อนคลายครับ

 เทคนิคที่ 10 : รู้ว่าสิ่งใดควรพูดไม่ควรพูด

           ยกตัวอย่างเช่นเรารู้ทั้งรู้ว่าบ้านนี้พี่น้องทะเลาะกันทำให้ต้องมาขายมรดกกินดังนั้นเราก็ไม่ควรมาพูดว่า “ทำไมพวกพี่ถึงทะเลาะกันล่ะครับ”เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่เรา เราแค่เป็นคนไปซื้อของเขาเท่านั้นครับ

 เทคนิคที่ 11 : รู้หลักคุณธรรมนำการเจรจาต่อรอง

           หากเราอยากเป็นนักเจรจาที่ดีต้องรู้หลักคุณธรรมด้วยครับ บางคนฉวยเอาสถานการณ์ที่ได้เปรียบมาเอาเปรียบคู่เจรจาอย่างไร้คุณธรรม เช่นเขาอาจมีความจำเป็นต้องขายสินค้าเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ก็ไปกดราคาเขามากๆ เวลาไปต่อรองซื้อขายอีก เข้าข่ายหักคอคนขายเพราะรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงินแบบนี้เรียกว่า “ไม่มีคุณธรรม” ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ

 เทคนิคที่ 12 : รู้หลักดึงดูดลูกค้าเป็นพวก

           เราควรใช้หลักการนี้ดึงดูดคู่เจรจาให้เป็นพวกเดียวกับเราเพราะคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกันมักเป็นพวกเดียวกันและจะพูดกันง่ายขึ้น เช่น คนภาคเดียวกันส่งภาษาพื้นเมืองก็จะพูดกันง่าย ยกตัวอย่างเช่นคนใต้ด้วยกันพอได้ยินสำเนียงกรุงเทพฯลักษณะทองแดงหน่อยๆก็เริ่มรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันมาแล้วก็จะพูดกันง่ายล่ะคราวนี้   หรือคนชอบพรรคการเมืองเดียวกันจะคุยกันง่าย ทำให้การเจรจาต่อรองก็จะง่ายตามมา

 เทคนิคที่ 13 : รู้ขั้นตอนของการจูงใจ 

           ขั้นตอนของการจูงใจเริ่มต้นจากการค้นหาความต้องการของลูกค้า เราต้องค้นให้เจอว่าลูกค้าต้องการสิ่งใดมากที่สุดจากนั้นก็นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เหมาะกับเขาให้มากที่สุด แล้วเราจะปิดการขายได้อย่างง่ายดาย เช่น เราสังเกตว่าลูกค้ารายนี้เกลียดความยุ่งยาก ดังนั้นเมื่อลูกค้าซื้อของเราแล้วจ่ายด้วยบัตรเครดิตแล้วเรารับบัตรมาจากมือลูกค้าก็ควรจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยที่ลูกค้าไม่ต้องทำอะไรเลย  แต่ถ้ารับบัตรเครดิตจากลูกค้ามาแล้วยังต้องไปตรวจสอบเครดิตบูโรชักเข้าชักออกอย่างนี้ลูกค้าไม่เอาด้วยนะครับ  ทำให้ลูกค้ายุ่งยากต้องมานั่งเซ็นเอกสารอีกสิบกว่าชุดเขาก็ไม่เอาไม่ซื้อแล้ว เพราะขั้นตอนปิดการขายยุ่งยากเกินไป

 เทคนิคที่ 14 : ปูพื้นฐานข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อจูงใจลูกค้า

การจูงใจแบบนี้เราต้องบอกพื้นฐานข้อมูลและข้อเท็จจริงให้กับลูกค้า เช่น ราคาทองเพิ่มขึ้นแล้วในตลาด พี่สนใจการลงทุนในรูปแบบโกลด์ฟิวเจอร์ไหมครับ? โดยเราต้องเน้นให้เขาเห็นคุณค่าที่ลูกค้ามุ่งหวัง เช่น “ถ้าพี่ตัดสินใจเร็วยิ่งได้เปรียบไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยแบงค์จะกินแย่เลย”   หรือ ถ้าบ้านที่เราหมายตาเอาไว้คู่เจรจาเขากู้แบงค์มาซื้อบ้านก็ต้องบอกว่า “ถ้าบ้านพี่หลังนี้ไปกู้ธนาคารมา ยิ่งขายได้เร็วก็ยิ่งดีไม่เช่นนั้นดอกเบี้ยจะทบต้นจนทำให้ยอดเงินกู้แบงค์สูงขึ้นไปเรื่อยๆ” เห็นไหมครับเป็นการเน้นคุณค่าที่สร้างประโยชน์ให้ผู้เจรจา  ดังนั้นผู้เจรจาก็จะเห็นด้วยและตกลงใจได้เร็วขึ้นครับ

 เทคนิคที่ 15 : กระตุ้นให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อ

ควรมีการเชียร์ให้คู่เจรจาตัดสินใจ เพราะคนเราต้องการคนกระตุ้นหลายๆ ครั้ง ถ้ากระตุ้นเขาแล้วไม่ได้ผลให้กระตุ้นคนที่มีอิทธิพลกับเขาแทน ยิ่งบุคคลนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่มีอิทธิพลเหนือลูกค้าก็เข้าข่ายหลักการชนะ 3 ฝ่ายยิ่งดีใหญ่ เช่น ถ้าเรากระตุ้นตัวเขาไม่ได้ก็กระตุ้นสามีหรือภรรยาเขาที่มาด้วยกันแทนก็ได้นะครับ

 เทคนิคที่ 16 : หลีกข้ามปัญหาของการต่อรอง

ปัญหาการต่อรองมันเกิดขึ้นได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เช่น ถ้ามีปัญหาเรื่องเครดิตเราให้ลูกค้าไม่ได้ก็ให้ข้ามไปคุยเรื่องอื่นก่อนอย่ามาคุยเรื่องนี้ อย่างลูกค้าบอกจะซื้อแบบสินเชื่อหรือขอเครดิตแต่เราให้ไม่ได้ก็อย่าคุยเรื่องนี้ ให้เปลี่ยนไปคุยเรื่องราคาก่อนราคานี้โอเคไหม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ครับ

 เทคนิคที่ 17 : จดจำข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าประจำ

เพราะคนเราจะรู้สึกภูมิใจมาก หากมาติดต่อครั้งที่สองเราจำได้ว่าครั้งแรกเขาเคยมาแล้ว เช่น ร้านเซเว่นอีเลเว่นบางสาขาพนักงานจำลูกค้าหรือจำชื่อลูกค้าได้ โดยที่บางครั้งลูกค้ายังไม่ทันบอกซ้ำว่าเขาชื่ออะไร

เทคนิคการรู้ชื่อลูกค้านี่ไม่ยากครับ ขอให้เราสนใจฟังคนที่มากับเขาเรียกกันก็รู้แล้วครับ เช่น ให้เรียกชื่อตามลูกที่เรียกแม่เขา หรือแม่เขาเรียกลูกว่าอะไร บางครั้งอาจต้องใช้กลยุทธ์ “แอบถามจากคนใกล้ชิด” เช่นถามคนงาน ถามเลขาว่าเจ้าของกิจการชื่ออะไรเป็นต้น

 เทคนิคที่ 18 : การปิดการขาย

สุดท้ายเมื่อได้จังหวะเราต้องปิดการขายและการเจรจาทันทีครับเพราะของในโลกของการขาย ของขายแล้วคืนไม่ได้ มาคืนก็ไม่มีใครรับคืนครับ ข้อนี้ถือเป็นความลับอีกอันหนึ่งของเจรจาต่อรองเชียวนะครับ เช่น เราซื้อบ้านจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว บอกไม่เอาไม่ได้ครับ หรืออาจได้แต่เป็นอีกราคาหนึ่งที่น้อยกว่าตอนจ่ายเงินซื้อ ต่อไปผมจะเล่าถึงการปิดการขายในกลุ่มลูกค้าทั่วไปให้ได้ผลและรวดเร็วครับ

 

GURU : ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา 

The post 18 เทคนิคการขายที่ใช้ได้ดีกับลูกค้าทุกสถานการณ์ appeared first on Smart SME.

Sme Smart Service | TRYLAGINA เทรนด์เครื่องสำอางมาแรงปี 2019 | 30 ต.ค. 61


via IFTTT

Sme Smart Service | Collakenko เจาะเทรนด์ผู้บริโภคกับความต้องการคอลาเจนปี 2019 | 29 ต.ค. 61


via IFTTT

แท็กซี่จ่อให้บริการรูปแบบใหม่ คิดค่าโดยสารเหมาจ่ายเดือนละ 1 หมื่น | เที่ยงวันทันกระแส | 31 ต.ค.2561


via IFTTT

5 เมกะโปรเจ็กต์อีอีซี 6.5 แสนล้าน | เที่ยงวันทันกระแส | 31 ต.ค.2561


via IFTTT

'สนธิรัตน์' ลงพื้นที่เร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ | เที่ยงวันทันกระแส | 31 ต.ค.2561


via IFTTT

กม. ห้ามร้านสะดวกซื้อขายแอลกอฮอล์ผ่านเครื่องอุปกรณ์ | เที่ยงวันทันกระแส | 31 ต.ค.2561


via IFTTT

ทุกฝ่ายเห็นพร้อม ปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ สนช.เดินหน้า คาดปี 2562

แพทย์-เภสัช การันตี “กัญชา” ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมี ลดเหลื่อมล้ำ ทุกคนเข้าถึง

สนช.ดันเต็มสูบเพื่อปลดล็อกกัญชามาทำยาพิชิตโรค 44 ทาง ด้าน สนช.ชงร่างแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติด กัญชา-กระท่อม พ้นบัญชียานรกประเภทที่ 5 ใส่เกียร์ดันเต็มที่เพื่อให้ร่าง พ.ร.บ.ให้ทันสิ้นเดือน ธ.ค. เป็นของขวัญปีใหม่คนไทย

โดยสาระสำคัญ ในการปลดล็อกครั้งนี้ เพื่อให้กัญชาใช้ทางการแพทย์ พร้อมมาตรการควบคุม มีสนช.ลงชื่อสนับสนุน 44 คน และ น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธาน กมธ.การสาธารณสุข โดยมีสมาชิกสนช. ตัวแทนจากส่วนราชการ เครือข่ายผู้ใช้กัญชาแห่งประเทศไทย ตลอดจนนักกฎหมาย ร่วมสัมมนา

นายพรเพชร กล่าวว่า กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 เป็นอุปสรรคต่อการค้นคว้าวิจัย ซึ่งสามารถใช้ทางการแพทย์ได้ สนช.เห็นว่า ถ้าแก้กฎหมายกัญชาสามารถทำได้ แต่ต้องใช้เวลา ต้องฟังความเห็นประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ

ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นอกจากกัญชาแล้ว ขอฝาก สนช.ให้ช่วยพิจารณาพืชกระท่อมด้วย นอกจากนี้ตนเห็นด้วยเรื่องนำกัญชามาใช้กับแพทย์แผนไทย แต่เรื่องการผลิตจะต้องเปิดกว้าง เช่น โอทอปต้องทำได้ จะต้องสร้างเงื่อนไขให้น้อยที่สุด มิเช่นนั้นจะถูกครอบงำโดยบริษัทเอกชน

The post ทุกฝ่ายเห็นพร้อม ปลดล็อกกัญชาเพื่อการแพทย์ สนช.เดินหน้า คาดปี 2562 appeared first on Smart SME.

อาชีพ “เลี้ยงแมลงทับ” ทำเครื่องประดับสร้างรายได้หลักล้าน | SME VOICE | 31 ต.ค. 2561


via IFTTT

ปูไข่ดอง ทำง่าย ขายคล่อง สร้างรายหลักล้าน | SME Take Off | 27 ต.ค. 61 | EP.32


via IFTTT

Tuesday, October 30, 2018

4 วิธีจัดระเบียบการเงิน ฉบับคนรุ่นใหม่

เพิ่มเงินออม  ลดภาระ

ปัจจุบัน เป็นยุคที่ซื้อง่าย ขายคล่อง ไม่ว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ทำได้ง่าย เร็ว สะดวก เพราะมีบริการทางออนไลน์ต่างๆ ทั้งการขายของออนไลน์ การจ่ายเงินออนไลน์ และอื่นๆ มาอำนวยความสะดวกในการใช้เงินของผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่น และวัยทำงานหรือมนุษย์เงินเดือน ที่มักจะใช้เงินกันอย่างลืมตัว เกินตัว จนนำไปสู่การกู้ยืมทั้งจากในและนอกระบบ และกลายเป็นหนี้สินในที่สุด

ซึ่งหากดูจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยในไตรมาสแรกปีนี้ ระบุว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยยังอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง  มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงถึง 77.6% และมียอดคงค้างหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 12 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหาหนี้ครัวเรือนเกิดจาก การใช้จ่ายที่เกินตัวและไม่ระวัง และกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถจัดสรรรายจ่ายให้เหมาะสมกับรายรับได้ จึงทำให้มีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้าไม่รู้จักวิธีการบริหารจัดการที่เหมาะสม ก็จะมีหนี้สินพอกพูนไปเรื่อยๆ ดังนั้น ความรู้ด้านการจัดระเบียบทางการเงิน เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกควรรู้ และปฏิบัติ

นางสาววันวิสาข์  โคมินทร์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร  ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ธนาคารซิตี้แบงก์ได้เล็งเห็นถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อาจมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ทางมูลนิธิซิตี้ ซึ่งมีพันธกิจในการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย ในชุมชนทั่วโลก จึงจับมือกับสถาบันคีนันแห่งเอเชียจัด “โครงการพัฒนาเครือข่ายองค์กรชุมชน เพื่อสร้าง ความมั่นคงทางการเงิน” ขึ้น เพื่อสร้างเสริมความรู้และวินัยทางการเงินที่ดีสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผ่านการให้ความรู้ฝึกอบรมด้านการจัดสรร และบริหารการเงินส่วนบุคคล ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน ไปจนถึงการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งเป็นเสมือนขั้นตอนหลักที่ควรปฏิบัติ ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของแต่ละบุคคล

  โดยวิธีการจัดระเบียบทางการเงินขั้นพื้นฐานที่จะทำให้มีเงินออมเพิ่มขึ้น สามารถลดภาระหนี้สิน และแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวที่ทำได้ง่ายๆ มี 4 วิธีหลักดังนี้

 

  1. การกำหนดเป้าหมายทางการเงิน

    โดยจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่ามีความต้องการที่จะเก็บเงินจำนวนเท่าไหร่ สำหรับการทำอะไรในอนาคต เพื่อนำไปสู่การจัดสรรเงินที่เหมาะสม และบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

  1. การบริหารรายรับ-รายจ่ายที่มีในแต่ละเดือน

    ซึ่งรายจ่ายควรเหมาะสมกับรายรับที่ได้ โดยจะต้องมีการจดบัญชีครัวเรือนหรือรายรับ-รายจ่ายเป็นประจำทุกเดือน และวางแผนการค่าใช้จ่ายของแต่ละเดือนไว้ล่วงหน้า

  1. การออมเงิน 

    จะต้องมีการออมอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน ควรจะหักจากรายรับส่วนหนึ่งก่อนคำนวณรายจ่ายเสมอ เพื่อจะได้มีเงินออมสำหรับอนาคต และสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้

  1. การบริหารจัดการหนี้สิน

    จะต้องมีการชำระอย่างตรงเวลาในทุกๆ เดือน จนกว่าจะครบตามจำนวณโดยการชำระหนี้สินจะเป็นส่วนหนึ่งในของรายจ่ายที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งถ้ามีการจัดสรรรายรับ-รายจ่ายได้อย่างเหมาะสม  หนี้สินก็จะน้อยลงในทุกๆเดือน

ทั้งนี้  4 วิธีดังกล่าว เป็นวิธีปฏิบัติที่ไม่ยากเกินจะทำ สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วัยรุ่น เพื่อสร้างวินัยทางการเงินของตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อในอนาคตมีเงินเดือนก็จะได้สามารถจัดระเบียบการเงินได้อย่างดี ซึ่งซิตี้แบงก์เองก็ได้สนับสนุนการสร้างวินัยทางการเงินให้แก่เด็กและวัยรุ่น ผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมของมูลนิธิซิตี้มาตลอด และการร่วมมือกับสถาบันคีนันครั้งนี้ มีอีกจุดประสงค์ คือเพื่อต่อยอดเสริมสร้างความรู้การบริหารการเงินให้แก่ทั้งเด็ก วัยทำงานหรือมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบัน  ให้สามารถเพิ่มพูนเงินออมและลดหนี้สินได้

The post 4 วิธีจัดระเบียบการเงิน ฉบับคนรุ่นใหม่ appeared first on Smart SME.

Monday, October 29, 2018

เมื่อ 7-Eleven จับอาหารกล่องแปลงโฉมเป็นเมนูสุดหรู “ทายสิ ราคาเท่าไหร่”

7-Eleven Thailand โพสต์คลิปวิดีโอสุดเก๋ทีพิสูจน์คำพูดที่ว่า ของดี ไม่ต้องแพง ได้เป็นอย่างดี โดยระบุว่ารายละเอียดในคลิปดังกล่าวว่า

ถ้าลองเอาอาหารในร้านเซเว่นมาลองตกแต่งอย่างหรู ดูซิว่าลูกค้าเหล่านี้เค้าจะให้ราคากันที่เท่าไหร่ แล้วพอเฉลยจะเป็นยังไงมาดูกัน 
แต่แอดบอกก่อนนะ ว่าเมนูที่เลือกมานี้ IRON CHEF เค้าการันตี ท้าให้ลองด้วยนะ 

ซึ่งเป็นเรื่องราวของการหาอาสาสมัครมาลิ้มลองอาหารหน้าตาสุดหรู จากเชฟชาวญี่ปุ่น (ปลอม) 2 ท่านลองทานเมนูหน้าตาดีในร้านอาหารที่บรรยากาศแบบญี่ปุ่น ชวนให้คิดว่านี่คือเมนูอาหารจากมืออาชีพที่คร่ำหวอดในแวดวงการปรุงอาหารมายาวนาน  แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อเซเว่นอิเลฟเว่น ภายหลังร้านแล้วจัดจานให้สวยงามเท่านั้น เมนูสุดหรูปรุงจากอาหารกล่องและอาหารปรุงสำเร็จที่อุ่นไมโครเวฟ อาสามัครจะให้ราคาเท่าไหร่ รสชาติจะเป็นอย่างไร ดูได้จากคลิปด้านล่างเลยค่ะ

 

ขอบคุณคลิปจากเพจเฟซบุ๊ก 7-Eleven Thailand

 

The post เมื่อ 7-Eleven จับอาหารกล่องแปลงโฉมเป็นเมนูสุดหรู “ทายสิ ราคาเท่าไหร่” appeared first on Smart SME.

มีเงินอย่างเดียวใช่ว่าจะทำธุรกิจสำเร็จ


via IFTTT

แท็กซี่จ๋อย! ขนส่งเมินปรับราคา ชี้ คุณภาพบริการยังไม่โอเค

แท็กซี่ยังมีเรื่องร้องเรียนสูง!  ขนส่งทางบกเผยสาเหตุยังไม่ปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารแท็กซี่ ระบุคุณภาพการให้บริการต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน เผยตัวเลข 1 ปีที่ผ่านมา ร้องเรียน 48,223 เรื่อง

นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะโฆษกกรมฯ ชี้แจงถึงสาเหตุยังไม่ปรับเพิ่มอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ ว่า หลังจากกรมได้รับมอบหมายจากกระทรวงคมนาคมให้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพการให้บริการรถแท็กซี่ ควบคู่กับการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนและค่าครองชีพ

โดยเมื่อปี 2557 กรมฯ กำหนดแนวทางการปรับอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ โดยให้ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 ของอัตราค่าจ้างเดิม แต่กำหนดการปรับเป็น 2 ระยะ สำหรับระยะที่ 1 ให้ปรับค่าโดยสารไปแล้วเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2557 ในอัตราร้อยละ 8 ส่วนการปรับค่าโดยสารระยะที่ 2 จากที่ติดตามประเมินผลพบว่า คะแนนความพึงพอใจผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in น้อยกว่า 70% นอกจากนั้นยังมีการร้องเรียนผ่านศูนย์ 1584 อาทิ ปฏิเสธผู้โดยสาร ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร จึงระงับการปรับอัตราค่ารถแท็กซี่ไว้จนกว่าปรับปรุงพัฒนาคุณภาพการให้บริการให้ได้รับการยอมรับจากประชาชน

ทั้งนี้ จากสถิติการร้องเรียนรถแท็กซี่ผ่านสายด่วน 1584 ในปี 2561 (1 ต.ค.2560 – 30 ก.ย.2561) ยังมีเรื่องร้องเรียนจำนวน 48,223 เรื่อง ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมา (ปี 2559 มีเรื่องร้องเรียน 43,804 เรื่อง ,ปี 2560 มีเรื่องร้องเรียน 43,254 เรื่อง) โดย 5 อันดับเรื่องร้องเรียน คือ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร , แสดงกิริยาไม่สุภาพ, ขับรถประมาทหวาดเสียว, ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร และไม่ส่งผู้โดยสารตามที่ตกลง

นายกมล กล่าวอีกว่า กรมฯตระหนักถึงความจำเป็นเพื่อให้การพัฒนาคุณภาพการให้บริการแท็กซี่อย่างยั่งยืน จึงได้จ้างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ทำการศึกษาปัญหาความปลอดภัยและคุณภาพการให้บริการแท็กซี่ รวมทั้งโครงสร้างต้นทุนการประกอบการ และอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ซึ่งได้ส่งมอบผลการศึกษาแล้ว โดยขณะนี้กรมขนส่ง อยู่ระหว่างพิจารณาผลและจัดทำสรุปนำเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาต่อไป

The post แท็กซี่จ๋อย! ขนส่งเมินปรับราคา ชี้ คุณภาพบริการยังไม่โอเค appeared first on Smart SME.

ชาวประมง วอนรัฐแก้ปัญหาราคาสัตว์น้ำตกต่ำ | ข่าวค่ำทันโลก | 29 ต.ค.2561


via IFTTT

เส้นทางธุรกิจ "วิชัย ศรีวัฒนประภา" ผู้สร้างอาณาจักร "คิงเพาเวอร์" | เที่ยงวันทันกระแส | 29 ต.ค.2561


via IFTTT

เปิดโปง 5 กลโกง… ที่มิจฉาชีพนิยมใช้หลอกให้โอนเงินออนไลน์

ทรูมันนี่ เผยว่า จากข้อมูลของ ETDA  ระบุว่า ในปี 2561 คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยสูงกว่า 10 ชั่วโมง/วัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ถึง 3 ชั่วโมง 47 นาที และใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ที่ 93.64% แน่นอนว่าในโลกอินเทอร์เน็ตที่เสมือนคลังข้อมูลมหาศาล สื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วฉับไว เป็นโลกใบใหม่ไร้พรมแดนที่เชื่อมโยงผู้คนทุกเพศทุกวัยจากหลากหลายเชื้อชาติให้มาเจอกันได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยล้วนมาจากผู้คนร้อยพ่อพันแม่ หนึ่งในคนเหล่านั้นคือ “มิจฉาชีพ” ที่จ้องหาผลประโยชน์และใช้สื่อโซเชียลเป็นสะพานเชื่อมล่อลวงเงินจากกระเป๋าหรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ให้กลายเป็น “เหยื่อ” โดยไม่รู้ตัว 

ไซแมนเทค ผู้เชี่ยวชาญด้านการปกป้องข้อมูล เคยเปิดเผยรายงานภัยคุกคามความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตประจำปี 2559 ระบุประเทศไทยติดอันดับที่ 11 ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีการหลอกลวงทางโซเชียลมีเดียวันละเกือบ 82 ครั้ง เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้กับสังคมไทยให้เดินหน้าไปสู่ยุค Cashless society ทรูมันนี่ หนึ่งในผู้นำกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย จึงได้เผย 5 กลโกง… โอนเงินออนไลน์ ประกอบด้วย

  1. หลอกให้โอนเงินช่วยเหลือทางโซเชียลมีเดีย มิจฉาชีพจำพวกนี้จะใช้วิธีปลอมตัวเป็นญาติพี่น้องหรือคนรู้จักของเราเพื่อขอยืมเงินโดยอาจมีการนำรูปภาพหรือสร้างบัญชีขึ้นโดยเฉพาะ หรือทำการแฮ็กบัญชีโซเชียลมีเดียเพื่อสวมรอยแอบอ้าง โดยที่ญาติหรือคนรู้จักเราอาจจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าโดนสวมรอยอยู่ ทางที่ดีเราควรโทรเช็คเพื่อยืนยันตัวตนให้ชัดเจนก่อน และควรเข้าไปตรวจสอบหน้า feed เพื่อพิจารณาลักษณะการโพสต์ และหากยิ่งเป็นเพื่อนที่ไม่ได้ติดต่อกันมาเนิ่นนานแล้วอยู่ๆ ทักมา ให้พึงระวังไว้ให้ดี
  1. หลอกว่าได้รางวัลใหญ่ ให้โอนเงินไปให้ก่อนเป็นค่าธรรมเนียมหรือยืนยันรับสิทธิ์ มิจฉาชีพจำพวกนี้มักใช้รางวัลจากแคมเปญการตลาดของแบรนด์ต่างๆ ทางหน้าสื่อมาล่อลวงเรา แต่ทางที่ดีที่สุดคือการพิจารณาตัวเองให้ดีก่อนว่า เราเคยส่ง SMS ไปลุ้นของรางวัลพวกนี้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริงและไม่เคยส่งไปแทบจะ 100% ให้คิดว่าเป็นการล่อลวงแน่นอน ยิ่งเจอข้อความแชทมาแกมบังคับให้โอนเงิน โดยเอาของรางวัลหรือเงินก้อนใหญ่กว่ามาล่อ แนะนำให้ท่านรีบแคปเจอร์หน้าจอและเเจ้งความดำเนินคดีไว้ดีที่สุด หรือแจ้งไปยังแบรนด์นั้นๆ
  1. หลอกให้ซื้อของราคาถูก สำหรับขาช็อปออนไลน์ และชื่นชอบของ Sale ต้องระวังการหลอกลวงลักษณะนี้ให้ดี ต้องเตือนตัวเองไว้ตลอดว่าของถูกและได้ฟรีไม่มีในโลก ขนาดแอปฯ หรือเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ที่เราใช้ฟรีกันทุกวันนี้ยังมีการเก็บข้อมูลส่วนตัวบางอย่างของเราไปเลย ดังนั้นเรื่องโอนเงินเพื่อให้ได้ของราคาที่ถูกกว่านั้นลืมไปได้เลย ยิ่งเดี๋ยวนี้เราสามารถสั่งซื้อของออนไลน์ และจ่ายเงินปลายทางได้แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นที่ต้องโอนเงินอะไรให้ก่อนทั้งนั้น
  1. หลอกให้โอนเงินไปบริจาคต่อ สำหรับท่านที่มีจิตกุศลชื่นชอบการทำบุญมักตกเป็นเหยื่อได้โดยง่ายต่อมิจฉาชีพในลักษณะนี้ ฉะนั้นก่อนโอนเงินทำบุญในเรื่องอะไรก็ตาม ลองตรวจสอบถึงที่มาที่ไปสักนิด เช่น โครงการที่มิจฉาชีพกล่าวอ้างเป็นตัวแทนรับบริจาคนั้นมีจริงรึเปล่า และลองเช็คข่าวสารการรับบริจาคเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านช่องทาง Official ของโครงการหรือมูลนิธินั้นๆ ก่อนตัดสินใจโอนเงินทำบุญ
  1. หลอกให้เปิดบัญชีเพื่อรับส่วนแบ่ง กรณีนี้ที่เห็นได้ชัดเลย คือ ข้อความโฆษณาชวนเชื่อตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ที่ชวนคุณไปทำงานออนไลน์เสริมรายได้แบบสบายๆ ซึ่งรูปแบบการล่อลวงมักจะมีการขอให้คุณเปิดบัญชีไว้เพื่อใช้สมัครทำงาน โดยจะมีเงินเข้ามาและคุณต้องโอนเงินนั้นต่อไปอีกบัญชี เสมือนคุณโดนหลอกและตกเป็นเครื่องมือให้กับขบวนการฟอกเงิน โดยเจียดรายได้บางส่วนให้จริง กรณีนี้เหยื่อที่โดนหลอกจะเข้าไปอยู่ในขบวนการทันที และมีความผิดตามกฎหมาย

ที่มา : ทรูมันนี่ 

The post เปิดโปง 5 กลโกง… ที่มิจฉาชีพนิยมใช้หลอกให้โอนเงินออนไลน์ appeared first on Smart SME.

“จากจนแต้ม สู่แชมป์เปี้ยน” ของคุณวิชัย เจ้าของทีมเลสเตอร์ | เที่ยงวันทันกระแส | 29 ต.ค.2561


via IFTTT

จี้เก็บภาษี 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ | เที่ยงวันทันกระแส | 29 ต.ค.2561


via IFTTT

Sunday, October 28, 2018

หยุดหนี! มาดูข้อดีของการชำระหนี้ตรงตามเวลา

การเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าอายแต่อย่างใด เพราะแต่ละคนล้วนมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเป็นหนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้จากการกู้ยืม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณได้เงินอนาคตมาใช้เพื่อทำตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ คุณก็ควรชำระเงินตามวัน เวลาที่กำหนดจ่าย ซึ่งหลายคนเลือกที่จะหลบหนี ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่ผลดีต่อตัวคุณอย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อให้เป็นลูกหนี้ที่ดี เรามาดูข้อดีของการชำระหนี้ตรงเวลากันครับ ว่ามีอะไรบ้าง

1.แสดงถึงวินัยทางการเงิน

การชำระหนี้ตามนัดหมาย บ่งบอกถึงความมีวินัยทางการเงิน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถบริหารจัดการเงินที่มีอยู่ได้อย่างลงตัว ควบคุมรายรับ-รายจ่ายที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันไม่ให้เป็นไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพื่อให้มีเงินมาชำระตามที่ตกลงนัดหมายกับเจ้าหนี้ไว้

2.ไม่เสียประวัติทางการเงิน

การชำระหนี้ตามเวลา จะช่วยให้คุณไม่เสียประวัติทางการเงิน เพราะเมื่อคุณต้องขอยื่นกู้เงินกับธนาคาร หรือผ่อนชำระสินค้าทั่วไป หากติดเครดิตบูโรคุณก็จะไม่ผ่านคุณสมบัติตามที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งประเด็นหลักๆ คือเจ้าหนี้ไม่เชื่อมั่นว่าถ้าปล่อยเงินกู้ให้คุณไปแล้ว จะสามารถชำระเงินได้ตามวันเวลาที่กำหนดได้หรือไม่

3.ไม่เสียดอกเบี้ยเพิ่ม

การผ่อนปรน หรือขยายเวลาการชำระหนี้ แม้ว่าจะต่อลมหายใจให้กับคุณไปอีกสักพัก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเสียดอกเบี้ยจากเงินที่ค้างชำระอยู่ หรือจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือคุณต้องชำระเงินเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทางที่ดีควรชำระตามวันเวลาที่กำหนดน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

4.สบายใจ ไม่เครียด

การได้ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนด เปรียบได้กับการยกภูเขาออกจากอก เพราะคุณได้ทำตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ต้องมานั่งคอยพะวงว่าจะหาเงินมาชำระหนี้ทันรึเปล่า หากทำไม่ได้ก็จะกลายเป็นการสร้างความเครียดให้กับตัวคุณเองเปล่าๆ

5.ไม่ถูกฟ้องร้อง

หากคุณไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนด สิ่งสุดท้ายที่ตามมาคือการฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหาย และเมื่อมาถึงจุดๆ นี้ เรื่องย่อมไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอน เพราะคุณต้องเสียเวลาจ้างทนาย เดินทางไปขึ้นศาล เพื่อไกล่เกลี่ย และรับฟังข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

The post หยุดหนี! มาดูข้อดีของการชำระหนี้ตรงตามเวลา appeared first on Smart SME.

Saturday, October 27, 2018

DTAC คว้าคลื่นความถี่ 900 MHz ในราคากว่า 4 หมื่นล้าน

DTAC คว้าคลื่นความถี่ 900 MHz ในราคากว่า 4 หมื่นล้าน พร้อมเติมเต็มประสิทธิภาพโครงข่ายให้บริการอินเทอร์เน็ต และสร้างความต่อเนื่องการใช้งาน

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยว่า วันนี้ (28 ต.ค. 2561) บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) ได้เข้าร่วมการประมูลคลื่น 900 MHz (890-895/ 935-940 MHz) และได้คลื่นความถี่ 1 ชุดคลื่นความถี่ ขนาด 2×5 MHz อายุใบอนุญาต 15 ปี ไปครองในราคา 38,064,000,000 บาท เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อีก 2,664,480,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 40,728,480,000 บาท

และมติที่ประชุม กสทช. ได้ประกาศให้บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) เป็นผู้ชนะการประมูลคลื่น 900 MHz (890-895/ 935-940 MHz) โดย ดีแทค ไตรเน็ต ต้องชำระเงินค่าประมูลคลื่นงวดที่ 1 เป็นจำนวนเงิน 4,020,000,000 บาท เมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อีก 281,400,000 บาท รวมเป็นเงินที่ต้องชำระในงวดที่ 1 ทั้งสิ้น 4,301,400,000 บาท ภายในเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ที่ประชุม กสทช. มีมติรับรองผลการประมูล และต้องดำเนินการก่อนการได้รับอนุญาตแล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าวด้วย

สำหรับการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ในครั้งนี้ แบ่งการชำระเงินค่าประมูลคลื่นความถี่ออกเป็น 4 งวด โดยงวดที่ 1 ชำระ 4,020,000,000 บาท งวดที่ 2 ชำระ 2,010,000,000 บาท งวดที่ 3 ชำระ 2,010,000,000 บาท และงวดที่ 4 ชำระเงินค่าประมูลฯ ส่วนที่เหลือทั้งหมด

นางอเล็กซานดรา ไรซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของ ดีแทคที่ได้รับใบอนุญาตจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz มาเพื่อให้บริการลูกค้า โดยคลื่นย่านความถี่ต่ำจะช่วยเติมเต็มประสิทธิภาพโครงข่ายให้บริการอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่แค่เพียงในเมืองแต่เพิ่มคุณภาพทั่วประเทศโดยครอบคลุมถึงพื้นที่ชนบทห่างไกล

จากการชนะประมูลคลื่น 900 MHz ส่งผลให้ ดีแทคมีบริการคลื่นความถี่ครอบคลุมทั้งย่านคลื่นความถี่ต่ำ (Low-band spectrum) และย่านคลื่นความถี่สูง (High-band spectrum) จากการถือครองใบอนุญาต 900 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz และบริการโรมมิ่งบนคลื่น 2300 MHz ของ TOT ที่ ดีแทคเป็นพัทธมิตร ทำให้มีแถบคลื่นความถี่ที่ให้บริการกับลูกค้าทั้งหมดกว้างถึง 110 MHz

ทั้งนี้ ดีแทคจะนำคลื่น 900 MHz มาให้บริการแทนคลื่น 850 MHz อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือที่เติบโตอย่างรวดเร็วและครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้ลูกค้าที่ใช้งานหลังสิ้นสุดระยะเวลาคำสั่งของศาลปกครองกลางที่คุ้มครองการใช้งานของลูกค้า ดีแทคบนคลื่นความถี่ 850 MHz ที่จะใช้งานได้ถึง 15 ธันวาคมนี้

ข่าวอื่นๆ คลิก

The post DTAC คว้าคลื่นความถี่ 900 MHz ในราคากว่า 4 หมื่นล้าน appeared first on Smart SME.

แนวคิด “แจ๊ค หม่า” อย่าริคิดเป็นหัวหน้าถ้าคุณอยากมีความสุข

เชื่อว่าหลายคนบนโลกใบนี้คงคุ้นชื่อ คุ้นตากับชายที่มีนามว่า แจ๊ค หม่า เป็นอย่างดี

แจ๊ค หม่า คือ ซีอีโอ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซชื่อดังของจีนอย่าง Alibaba เช่นกันหลายต่อหลายครั้ง แจ๊ค หม่า ถูกเชิญหรือเดินทางไปตามประเทศต่างๆ  เพื่อพูดคุยทางด้านการค้า การลงทุน รวมถึงขึ้นเวทีพูดให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหาร ทำธุรกิจให้ผู้คนได้ฟัง และนำไปปรับใช้

บทความนี้เรามีการบรรยายของ แจ๊ค หม่า ในเรื่องการเป็นผู้นำหรือหัวหน้า ว่าบุคลิก บทบาทหน้าที่สำคัญอย่างไร มาดูกันครับ

1.คุณต้องมีความรัก

การเป็นหัวหน้าควรมี 3 สิ่งด้วยกันประกอบด้วย IQ EQ และ LQ  เชื่อว่า ณ ที่นี้คงรู้จัก IQ กับ EQ เป็นอย่างดี ส่วน LQ นั้นคือ “ความรัก” โดยการเป็นหัวหน้าคุณต้องมีความรักให้กับลูกทีม พร้อมทำงานร่วมกัน  เพราะว่าพวกเขาเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของคุณ หลายครั้งหัวหน้าไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากคนภายในทีม เนื่องจากขาดความรัก ความเข้าใจ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น การจะทำงานอะไรให้ประสบความสำเร็จ มีความราบรื่นคงเป็นไปได้ยาก

2.การเป็นผู้นำไม่ได้สนุกอย่างที่คิด

แจ๊ค หม่า มีพนักงานในบริษัทนับหมื่นๆ คน แม้ว่าเขาจะมีการบริหารที่ดูเหมือนง่ายในสายตาคนทั่วไป แต่ชีวิตของเขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด จนมีประโยคเด็ดออกมาว่า “หากอยากมีชีวิตที่มีความสุข อย่าริคิดเป็นหัวหน้า เพราะชีวิตเต็มไปด้วยความกดดัน หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา คุณต้องรีบแก้ไขโดยทันทีแม้ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม”

3.คุณต้องคอยผลักดันผู้คน

เมื่อถึงเวลาที่ต้องแก้ปัญหาที่มีความยากลำบาก แจ๊ค หม่า มีคำแนะนำ ให้กำลังใจว่า “แม้วันนี้มันจะแย่ และพรุ่งนี้จะยิ่งแย่ลงไปอีก แต่วันข้างหน้ามันจะกลายเป็นสิ่งสวยงาม ทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้นจากวันเวลาที่ผ่านมา และที่สำคัญการเป็นผู้นำ คุณต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกทีมเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้ โดยการไม่ยึดติด ทำให้รู้ว่าพรุ่งนี้ก็สามารถทำให้เป็นวันที่ดีสำหรับเราได้”

[บทความทั้งหมด]

เรียบเรียงจาก : inc-asean

The post แนวคิด “แจ๊ค หม่า” อย่าริคิดเป็นหัวหน้าถ้าคุณอยากมีความสุข appeared first on Smart SME.

Friday, October 26, 2018

3 อาชีพใหม่ ปี 2019 ใช้มือถือหาเงิน เริ่มง่ายไม่ต้องลงทุนสักบาท


via IFTTT

เตือนปชช. ระวังถูกชวนร่วมลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเถื่อน | ข่าวค่ำทันโลก | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

ค้าปลีกสิงคโปร์ขานรับ ‘วีแชต เพย์’ ดีเดย์ 1 พ.ย.นี้ | ข่าวค่ำทันโลก | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

ชงรัฐออกมาตรการวีซ่ากระตุ้นทัวร์จีน | ข่าวค่ำทันโลก | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

ก.อุตสาหกรรมจ่อแก้กฎหมายยกเลิกต่ออายุใบ ร.ง.4 | เที่ยงวันทันกระแส | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

บิ๊กซียุติขายแฟรนไชส์ “มินิบิ๊กซี” เหตุระบบหลังบ้านยังไม่พร้อม | เที่ยงวันทันกระแส | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

ขนทัพ “แฟรนไชส์” เริ่มต้น 4,990 บาท | เที่ยงวันทันกระแส | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

โครงการบ้านผู้สูงอายุ รองรับครอบครัวชนชั้นกลาง | เที่ยงวันทันกระแส | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

เกษตรกรร้องจ๊าก! ไข่ไก่ล้นตลาดดันราคาตกต่ำ | SME VOICE | 26 ต.ค. 2561


via IFTTT

Thursday, October 25, 2018

แอปเปิลสโตร์ริมน้ำร้านแรกในไทย ที่ไอคอนสยาม เปิด 10 พ.ย.นี้

เป็นปริศนาคลุมเครือมานาน วันนี้ แอปเปิลได้ประกาศว่า Apple Store สาขาแรกของประเทศไทย จะเปิดให้บริการที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561 ตั้งแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป

เว็บไซต์ บริษัท แอปเปิล ประเทศไทย ประกาศวันเวลาเปิด แอปเปิลสโตร์ ในประเทศไทย วันที่ 10 พ.ย.นี้ ที่ไอคอนสยาม โดยได้เผยแพร่ดีไซน์สัญลักษณ์ที่เพิ่มเติมจากรูปแอปเปิลเดิม เห็นเป็นตัวอักษร อ นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของแอปเปิลอเมริกายังได้สร้างลิงค์มายังหน้าเว็บไซต์แอปเปิลสาขาไอคอนสยามแล้ว

สำหรับแอปเปิล เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีที่ได้รับความนิยม อย่างไอโฟน ไอแพด คอมพิวเตอร์แมค การเปิดร้านในไทย นับเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียแปซิฟิกล่าสุดที่แอปเปิลมาเปิดสาขา จากที่มีอยู่ใน จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์

ด้าน ไอคอนสยาม (ICONSIAM) เป็นโครงการพื้นที่พานิชยกรรมแบบประสม โดยความร่วมมือของสยามพิวรรธน์ (เจ้าของร่วมสยามพารากอน) เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP และแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC ออกแบบอาคารโดยได้แรงบันดาลใจจากกระทง บายศรี และการห่มสไบ

นอกจากจะเปิด Apple Store แล้ว ยังมีห้างสรรพสินค้าทากาชิมาย่า ตลาดสุขสยาม โรงภาพยนตร์ ศูนย์ออกกำลังกาย ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และคอนโดมิเนียมอีกสองอาคาร

The post แอปเปิลสโตร์ริมน้ำร้านแรกในไทย ที่ไอคอนสยาม เปิด 10 พ.ย.นี้ appeared first on Smart SME.

ลดค่าไฟบ้าน ค่าไฟโรงงาน กับ โซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟ SME | EP.8


via IFTTT

เลิกจน !! ขายอาหารตามสั่ง รายได้เดือนละ 3 แสน ทำได้จริง


via IFTTT

ประกาศผลผู้ชนะเลิศ การประกวดออกแบบมาสคอท สธค.โรงรับจำนำของรัฐ

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา สถานธนานุเคราะห์โรงรับจำนำของรัฐ ได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการประกวดออกแบบมาสคอท (Mascot) สธค.โรงรับจำนำของรัฐ โดยท่านบุญเลิศ พัฒนารุ่งอโนทัย ผอ. สำนักงานธนานุเคราะห์ เป็นผู้มอบรางวัล ให้แก่

1.นายอนิรุทธ์ เอมอิ่ม ได้รับรางวัลชนะเลิศ
2.นายภาณุวัฒน์ เสงี่ยม ได้รับรางวัลชมเชย
3. นายรุ่งโรจน์ แสงพันธ์ ได้รับรางวัลชมเชย

The post ประกาศผลผู้ชนะเลิศ การประกวดออกแบบมาสคอท สธค.โรงรับจำนำของรัฐ appeared first on Smart SME.

7 อาชีพเสริม ลงทุนน้อย ไม่เหนื่อย รายได้ดีกว่างานประจำ

ปัจจุบันถ้าหากจะอาศัยรายได้จากทางเดียวอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป จะดีไหมถ้าเรามีรายได้เพิ่มเติมจากการทำสิ่งที่ถนัด หากยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เรามี 7 อาชีพเสริม ลงทุนน้อย ไม่เหนื่อย รายได้ดีกว่างานประจำ มาบอกกัน เผื่อไว้เป็นแนวทางจากคลิปด้านล่างครับ

พบกับสาระดีๆ เพื่อโอกาสในการทำธุรกิจเพิ่มเติมได้ทาง ช่อง SmartSME ทรู 49

และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Youtube: SmartSMETV

WEBSITE: https://www.smartsme.co.th

FACEBOOK: Smartsme SME

LINE@: smartsme

TWITTER: smartsme_tv

The post 7 อาชีพเสริม ลงทุนน้อย ไม่เหนื่อย รายได้ดีกว่างานประจำ appeared first on Smart SME.

Wednesday, October 24, 2018

SPOT 20 การปรับตัวในกัมพูชา


via IFTTT

Thailand Coffee Fest 2019 : Sip to Start “เริ่มจิบ … ไม่รู้จบ”

กรุ่นกลิ่นของกาแฟกำลังจะกลับมาให้ทุกคนจิบกันจนตาค้างอีกครั้งกับงานกาแฟยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Thailand Coffee Fest 2019 : Sip to Start “เริ่มจิบ … ไม่รู้จบ”
งานแฟร์ของคนกาแฟที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ด้วยจำนวนผู้เข้าชมงานนับแสนในปีที่ผ่านมา จำนวนบูทร้านค้า/บริษัทที่เข้าร่วมจัดแสดงกว่า 120 ร้านค้า

กลับมาคราวนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเดิม!

ลงทะเบียนจองพื้นที่บูทร้านค้าที่เว็บไซต์ www.thailandcoffeefest.org
ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2561

เพราะกาแฟไม่ใช่แค่จุดเริ่มต้นของวันใหม่ แต่คือ จุดเริ่มต้นของอีกหลายๆ สิ่งเมล็ดกาแฟ คือ สารตั้งต้นของกาแฟดีๆ สักแก้วและอีกหลายสินค้าบริการที่เกิดจากกาแฟเมล็ดเล็กๆกาแฟเพียงหนึ่งแก้ว อาจเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งต้นของธุรกิจ ความคิด มิตรภาพ และการใช้ชีวิตเมื่อคุณเริ่มต้นจิบแล้ว คุณอาจหลงใหลในรสชาตินี้ต่อไปอย่างไม่รู้จบ

เตรียมพบกับการกลับมาของมหกรรมคนรักกาแฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน South East Asia เทศกาลที่ขอจุดประกายการเริ่มต้นให้ทุกคนทำความรู้จักกับ’กาแฟ’ มากยิ่งขึ้นผ่านเรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาแฟ จวบจนต้นเหตุของความมหัศจรรย์ของรสชาติที่ให้ทุกคนได้เริ่มจิบกันแบบไม่รู้จบ

Southeast Asia’s largest specialty coffee event is coming back!
Thailand Coffee Fest 2019 : Sip to Start

A successful coffee fair with hundred thousand guests last year, more than 120 exhibitors to participate in the event.
14-17 March 2019 @ IMPACT EXhibition Hall 1-2 , Muang Thong Thani
Stay tuned for reserving booth space!

Exhibitor Registration is now open! https://ift.tt/2RiTBiH
From now until 31 October 2018

Coffee isn’t just the start to your day, it’s the start to so many other things too. A good cup of coffee begins with the beans and so do all other coffee-based products. That one cup of coffee may be the inspiration you need for business, the catalyst for friendship, or just a part of your lifestyle . Once you start sipping, you might lose yourself endlessly in the flavor.

Coffee lovers, get ready for the return of the greatest coffee event in South East Asia, a festival that will teach people all about this amazing drink, from it’s origins to the magical final taste that we all adore.

The post Thailand Coffee Fest 2019 : Sip to Start “เริ่มจิบ … ไม่รู้จบ” appeared first on Smart SME.

ปี 62 ปล่อยกู้ยากขึ้น ถ้าไม่ทำบัญชีเดียว


via IFTTT

คุมเข้มราคาสินค้า หวั่นผู้ค้าเอาเปรียบช่วงน้ำมันพุ่ง

ก.พาณิชย์ คุมเข้มราคาสินค้า ป้องกันการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค หลังราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับดูแลราคาสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิด ให้เกษตรกรขายสินค้าได้ราคาดี เป็นธรรม

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและราคาสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในขณะนี้ที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้า ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น และทำให้ราคาสินค้าอาจต้องปรับขึ้นตามไปด้วย ส่วนสินค้าเกษตร ต้องดูแลให้เกษตรกรขายสินค้าได้ในราคาที่เป็นธรรมและเหมาะสม รวมทั้งได้สั่งการให้จัดประชุมพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำชับให้ดูแลราคาสินค้าและราคาสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิดในทุกพื้นที่ด้วย

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน เร่งวิเคราะห์ผลกระทบของการปรับขึ้นราคาขายน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ที่อาจมีผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า และให้ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบแล้ว

ส่วนการดูแลราคาสินค้าเกษตร ในวันที่ 25 ต.ค.2561 จะประชุมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร ทั้งกรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อกำหนดแผนการทำงานเกี่ยวกับสินค้าเกษตรทั้งหมด ทั้งแผนงานด้านการตลาดในประเทศ ต่างประเทศ รวมถึงการเจรจาแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ เพื่อวางแผนบริหารจัดการสินค้าเกษตรอย่างครบวงจรและมีประสิทธิภาพ

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับเพิ่มขึ้น และผลกระทบที่จะมีต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว โดยเบื้องต้นพบว่า หากราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ไม่เกินลิตรละ 30 บาท จะทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น 0.0002-0.0085% โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบต่ำสุด คือ ถุงพลาสติก เพราะมีน้ำหนักการบรรทุกน้อย และใช้พื้นที่ในการขนส่งน้อย ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ปูนซีเมนต์ เพราะมีน้ำหนักในการบรรทุกมาก และใช้พื้นที่ในการบรรทุกมาก

อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวอีกว่า “ผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้หมายความว่าราคาสินค้าจะต้องปรับขึ้นตามไปด้วย โดยกรมฯ จะติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาขายเอาเปรียบประชาชน แต่หากประชาชนพบเห็นการเอาเอารัดเอาเปรียบ ก็สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569

The post คุมเข้มราคาสินค้า หวั่นผู้ค้าเอาเปรียบช่วงน้ำมันพุ่ง appeared first on Smart SME.

แนะนำ 4 อาชีพเสริม รายได้ขั้นต่ำ 5 หมื่น/เดือน ลงทุนหลักพัน อายุเท่าไหร่ก็ทำได้


via IFTTT

T 17 รายาการคู่คิด SME ธุรกิจเวียดนาม FULL


via IFTTT

ขายเซรามิคส์ สร้างรายได้ปีละ 60 ล้านบาท | SME Take Off | 20 ต.ค. 61 | EP.31


via IFTTT

รายาการคู่คิด SME ธุรกิจเวียดนาม FULL


via IFTTT

สมคิด สั่งพาณิชย์ดูแลราคาสินค้าหลังน้ำมันปรับขึ้นราคา | เที่ยงวันทันกระแส | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

ชาวนาเฮ! ราคาข้าวหอมมะลิ แตะตัน 17,700 บาท | เที่ยงวันทันกระแส | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

สั่งกองทุนหมู่บ้านเร่งทำงานยกระดับชุมชน | เที่ยงวันทันกระแส | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

ธพว.จับมือ ก.บังคับคดีขายทอดตลาด 2,000 ลบ. ปล่อยกู้รายใหม่ | เที่ยงวันทันกระแส | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

สหรัฐห้ามนำเข้าน้ำปลาไทย เสี่ยงก่อมะเร็ง | SME VOICE | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

สั่งกองทุนหมู่บ้านเร่งทำงานยกระดับชุมชน | เที่ยงวันทันกระแส | 24 ต.ค. 2561


via IFTTT

Monday, October 22, 2018

ภาษี ที่ SME ควรต้องรู้…..ก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ (ตอนที่ 2)

ผู้ประกอบธุรกิจ SME โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการประกอบธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา เพราะไม่ยุ่งยาก มีต้นทุนต่ำ ไม่ต้องทำบัญชีตาม พรบ.การบัญชี  และหากจะเลิกประกอบกิจการก็ไม่ยุ่งยาก ผู้ประกอบธุรกิจมือใหม่จึงสามารถทำการลองผิดลองถูกได้

ซึ่งหากต่อมาดำเนินกิจการไปได้ด้วยดี มีกำไร มีรายได้ที่มากขึ้น และเสียภาษีมากขึ้น จึงพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกอบธุรกิจเป็นแบบนิติบุคคล ซึ่งจะเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า คือ สูงสุดไม่เกินร้อยละ 20  จากอัตราสูงสุดของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะอยู่ที่ร้อยละ 35 ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงมาก

การคำนวณเสียภาษีในรูปแบบบุคคลธรรมดา

จะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า คือ มีรายได้มาก เสียภาษีมาก มีรายได้น้อย เสียภาษีน้อย โดยเริ่มต้นจากอัตราร้อยละ 5 – 35  ดังนี้

-เงินได้สุทธิ  1 – 150,000 บาท    ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

-เงินได้สุทธิ  150,001 – 300,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 5

-เงินได้สุทธิ  300,001 – 500,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 10

-เงินได้สุทธิ  500,001 – 750,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 15

-เงินได้สุทธิ  750,001 – 1,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 20

-เงินได้สุทธิ  1,000,001 – 2,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 25

-เงินได้สุทธิ  2,000,001 – 5,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 30

-เงินได้สุทธิ  5,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษีอัตราร้อยละ 35

การคำนวณเสียภาษีในรูปแบบนิติบุคคลทั่วไป

จะเสียภาษีในอัตราตายตัว คือ ร้อยละ 20  แต่หากเป็นนิติบุคคลในรูปแบบธุรกิจขนาดกลางและย่อม หรือ SME  จะเสียภาษีแบบขั้นบันได คล้ายกันกับของบุคคลธรรมดา แต่มีจำนวนขั้นน้อยกว่า ดังนี้

-กำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

-กำไรสุทธิตั้งแต่ 300,001 – 3,000,000 บาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 15

-กำไรสุทธิตั้งแต่ 3,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษีอัตราร้อยละ 20

จากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลข้างต้น มีอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ความแตกต่างดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำมาวางแผนการประกอบธุรกิจได้ ว่าเมื่อใดควรประกอบธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา และเมื่อใดควรประกอบธุรกิจแบบนิติบุคคล โดยเฉพาะธุรกิจแบบ SME  

ความเห็นของผู้เขียน หากผู้ประกอบธุรกิจดำเนินธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา มีเงินได้สุทธิ (เงินได้ – ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน) เริ่มมากกว่า 1 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะมีเงินได้สุทธิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ควรจะต้องพิจารณารูปแบบการประกอบธุรกิจแบบนิติบุคคลโดยเฉพาะนิติบุคคลประเภท SME ซึ่งจะทำให้ประหยัดภาษีได้มากกว่า ส่งผลให้มีเงินทุนหมุนเวียนในกิจการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเสียภาษีลดลง และจะมีความน่าเชื่อถือของกิจการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นการวางแผนทางภาษีอากรตามช่องทางของกฎหมาย ไม่ได้เป็นการหลีกหนีภาระภาษีแต่อย่างใด แม้ว่าจะทำให้รัฐได้รับภาษีอากรลดลงก็ตาม

 

Columnist : สกล อยู่วิทยา

The post ภาษี ที่ SME ควรต้องรู้…..ก่อนเริ่มดำเนินธุรกิจ (ตอนที่ 2) appeared first on Smart SME.

เฝ้าระวัง “สุวรรณภูมิ” หลังนักเดินทางนิยมฆ่าตัวตาย

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยืนยัน มีมาตรการดูแลและสังเกตการณ์ผู้ก่อเหตุฆ่าตัวตายเข้ม ระมัดระวังจุดเสี่ยง มีการติดตั้งแผงเหล็กป้องกันเพิ่มเติม

ภายหลังเกิดเหตุผู้โดยสารชาวตะวันตก พลัดตกในอาคารผู้โดยสารขาออก ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ เสียชีวิตเมือวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา เกิดประเด็นที่น่าสงสัย คือ ผู้เสียชีวิตได้ทำการเช็กอินและผ่านการตรวจคนออกเมืองตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. แต่ไม่ได้เดินทาง โดยที่สายการบินไม่ทราบเรื่อง

รวมทั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยวชาวบราซิล กระโดดอาคารผู้โดยสารจากชั้น 3 ลงมาพื้นที่ชั้น 2 บริเวณประตูทางออกที่ 3 ของอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.  สมุทรปราการ  ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยทั้ง 2 เหตุการณ์ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องมาตรการดูแลพื้นที่ เพราะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน

นางสาวดาลัด อัศเวศน์ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายสนับสนุนธุรกิจ) ปฏิบัติงานแทนผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีมาตรการดูแลความปลอดภัยที่เพียงพอ ทั้งในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ผสมที่คอยสอดส่องพฤติกรรมของผู้โดยสารแลผู้ปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย  รวมถึงมีการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานภายนอกที่เข้ามาปฏิบัติงานพื้นที่ หรือ Outsource อยู่เป็นประจำเพื่อสามารถรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นกรณีผู้เจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น ส่วนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเป็นที่สูง ทางท่าอากาศยานสุวรรรภูมิได้มีการลงทุนติดตั้งแผงเหล็กเครื่องกันไปทุกจุดแล้ว

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองเหตุการณ์นี้ยอมรับว่า ผู้โดยสารที่ตกลงจากที่สูงนั้นเจตนาที่จะกระโดดลงมาเพื่อฆ่าตัวตาย จากปัญหาเรื่องส่วนตัว โดยก่อนหน้า 2 เหตุการณ์นี้มีผู้โดยสาร 1 ราย ที่เตรียมกระโดดจากที่สูง แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจับตัวไว้ได้ทัน

 

อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้พยายามฆ่าตัวตายในพื้นที่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับสนามบินบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการเดินทาง มีการลาจาก บางครั้งต้องจากคนที่รักและทำใจไม่ได้ จึงตัดสินใจคิดสั้นขึ้นฉับพลัน ท่าอากาศยานก็ทำได้เพียงระวังเหตุเท่านั้น

ทั้งนี้ สุวรรณภูมิ ถือเป็นท่าอากาศยานที่มีผู้มาฆ่าตัวตายและพยายามที่จะฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง ทุกปีเฉลี่ย3-4 ราย โดยเฉพาะสะพานทางเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสาร และอาคารจอดรถ 5 ชั้น ที่เกิดเหตุขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ดูแลพื้นที่เขตสนามบินฯ ระบุว่า ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่มักจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เกิดปัญหาและประชดชิวิตต่าง ๆ ทั้งในเรื่องความรัก เครียด จึงคิดตัดสินใจสั้นหรือบางรายก็มีสติไม่สมประกอบ หรือเมาสุรา

โดยท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ได้จัดทำกระจกกั้นด้านนอกของสะพานชั้น 4 มีความยาวประมาณ 500 เมตร และ บริเวณทางเชื่อมประตูเข้าอาคารผู้โดยสารอีก 10 ประตู ๆ ละ 20 เมตร รวมเป็นเป็นความยาว 200 เมตร ตลอดแนว โดยผนังเดิมมีความสูงประมาณ 1.50 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวมักปืนข้ามไปแล้วกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย จึงเสนอให้ทำผนังเป็นกระจกให้มีความสูงประมาณ 1.80-2.00 เมตร เพื่อป้องกันการปีนของนักท่องเที่ยว ภายใต้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท เพื่อป้องกันการก่อเหตุคิดสั้น

The post เฝ้าระวัง “สุวรรณภูมิ” หลังนักเดินทางนิยมฆ่าตัวตาย appeared first on Smart SME.

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน กระทบส่งออกไทย

พาณิชย์เผยปัญหาสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน เริ่มส่งผลกระทบต่อไทย เดือน ก.ย.มูลค่าการส่งออก ติดลบร้อยละ 5.2 ครั้งแรกในรอบ 19 เดือน แต่ยังมั่นใจโต 8% ตามเป้า

ส่งออก – น.ส.พิมพ์ชนก  วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ได้รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ก.ย.61 พบว่าติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน ลดลงร้อยละ 5.2 หรือมีมูลค่า 20,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นผลมาจากสงครามการค้าโดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดจีน ลดลงร้อยละ 14.1 และตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 1.2

รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจในตลาดใหม่ของไทย ทั้งออสเตรเลีย และรัสเซีย ทำให้มีการนำเข้าจากทุกประเทศลดลง แต่การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี ยังขยายตัวได้ร้อยละ 8.13 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 189,729 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ การนำเข้าในช่วงเดือน ก.ย.ขยายตัวร้อยละ 9.9 คิดเป็นมูลค่า 20,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปีขยายตัว ร้อยละ15.21 คิดเป็นมูลค่า 186,891 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ในเดือน ก.ย.ไทยได้ดุลการค้า 487 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้า 9 เดือนไทยยังเกินดุลการค้า 2,839 ล้านดอลลาร์ แต่การส่งออกในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มที่ต้องเผชิญกับปัจจัยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า แต่ยังมั่นใจว่าการส่งออกทั้งปียังเป็นไปตามเป้าหมายที่ร้อยละ 8 ได้

ด้าน น.ส.บรรจงจิตต์  อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังเชื่อมั่นว่า 3 เดือนที่เหลือจะมีการผลักดันการส่งออกไปหลายๆ ตลาด เพื่อทดแทนไปจีนที่ลดลงได้ ทั้ง CLMV และตลาดยุโรป ที่ยังมีความต้องการสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งคาดว่าในปีนี้ไทยจะผลักดันสินค้าดังกล่าวได้เกินกว่า 20,000 ล้านดอล์สหรัฐ

ดังนั้น เฉลี่ยการส่งออกในแต่ละเดือนหลังจากนี้น่าจะเกินเดือนละ 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้ยังได้ตามเป้าหมายแน่นอน

The post สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน กระทบส่งออกไทย appeared first on Smart SME.

ระบบกงสี ธุรกิจระหว่าง “เตี่ย” กับ “ตี๋” ยังดีอยู่ไหม?

ธุรกิจกงสีดั้งเดิมเป็นธุรกิจกองกลางของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ทุกคนมีส่วนร่วมในการผลิตการค้าการขาย กฎกติกาข้อตกลงสำคัญคือรายได้จากการทำธุรกิจต้องเก็บรวมไว้ในกงสีหรือกองกลาง ห้ามนำเข้ากระเป๋าตัวเองโดยเด็ดขาด ค่าใช้จ่ายทั้งส่วนรวมและส่วนตัวของแต่ละคนก็จะหยิบหรือเบิกจากเงินกองกลาง ปกติก็มักจะมีอากงหรือปู่เป็นเถ้าแก่ใหญ่ ลูกหลานทุกคนเป็นสมาชิกในกงสี ถ้าอากงตายไปลูกคนโตก็จะรับหน้าที่เป็นเถ้าแก่ใหญ่ดูแลธุรกิจต่อ ส่งต่อธุรกิจกงสีกันแบบรุ่นต่อรุ่น

 ปัญหาใหญ่ของระบบกงสีแบบดั้งเดิมก็คือ

1. จำนวนสมาชิกของกงสีเพิ่มมากขึ้นอันเนื่องมาจากสมาชิกที่เป็นลูกแต่งงานมีลูกมีหลาน สมาชิกใหม่นอกครอบครัวหรือตระกูลดั้งเดิมเข้ามาร่วมกงสีในฐานะเขยหรือสะใภ้ บทบาทที่ถูกจับตามากเป็นพิเศษก็คือบรรดาสะใภ้ทั้งหลายที่เรียกกันว่า “อาซ้อ” เกิดปัญหาความไม่ลงรอยกับบรรดาญาติพี่น้องในครอบครัว และเมื่อสิ้นบุญอากงเสาหลักของกงสีปัญหาอาจรุนแรงถึงขั้นแตกหัก ทะเลาะกัน พี่น้องแยกออกจากกงสีไปทำธุรกิจต่างหากซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นธุรกิจประเภทเดียวกัน กลายมาเป็นคู่แข่งคู่แค้นกันเอง ธุรกิจกงสีเดิมอ่อนแอลงรอวันล่มสลาย

2. ธุรกิจกงสีเติบโตมีเงินมีทองเพิ่มมากเป็นเท่าทวีคูณ ทำให้เกิดการแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์จากกงสีกองกลาง มีการเบียดบังเงินทองเอาไปเป็นของตนเองผิดกฎผิดข้อตกลงของกงสี เกิดการทะเลาะกันแบบไม่มีใครยอมใคร

เมื่อธุรกิจกงสีแบบดั้งเดิมเกิดปัญหา จึงเกิดการนำเอารูปแบบธุรกิจกงสีแบบใหม่เข้ามาใช้ด้วยการจัดโครงสร้างของธุรกิจให้เป็นระบบด้วยการจดทะเบียนเป็นบริษัทครอบครัว (Family Business) แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นของสมาชิกในครอบครัวอย่างชัดเจน ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็มักจะเป็นพี่ใหญ่และลดหลั่นการไปตามลำดับ กำหนดอำนาจการบริหารการตัดสินใจที่เป็นรูปแบบ เกิดการทุ่มเทเวลาและสติปัญญาในการบริหารธุรกิจอย่างเต็มที่ ผู้ที่มีความสามารถก็จะได้รับความไว้วางใจให้เป็นใหญ่เป็นผู้บริหารสูงสุด โดยสมาชิกทุกคนในครอบครัวยังคงมีผลประโยชน์ร่วมกัน ผลประกอบการของธุรกิจออกมาดีผลตอบแทนที่แบ่งกันตามหุ้นหรือตามความรับผิดชอบก็ดี ไม่เกิดความรู้สึกได้เปรียบเสียเปรียบกันของสมาชิกในครอบครัวมากนัก มีความรักความสามัคคีดีกว่าระบบกงสีแบบดั้งเดิมที่ไม่มีรูปแบบบริษัทเช่นนี้

เมื่อการดำเนินธุรกิจของธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จอาจมีการแตกธุรกิจออกเป็นหลายบริษัท วิธีปฏิบัติก็คือให้สมาชิกในครอบครัวถือหุ้นไขว้กันในทุกบริษัทอย่างเหมาะสม พี่น้องก็แบ่งกันไปเป็นผู้บริหารสูงสุดของแต่ละบริษัทตามความถนัดและความสามารถ ทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจและใช้ความรู้ความสามารถของพี่น้องสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง การเข้ามาของสมาชิกคนนอกครอบครัวทั้งเขยและสะใภ้ก็คือโอกาสในการเพิ่มทรัพยากรบุคคลเข้ามาช่วยงานการบริหาร เขยบางคน สะใภ้บางคนได้รับการยอมรับให้เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเลยก็มี

แม้รูปแบบการดำเนินธุรกิจกงสีจะเปลี่ยนจากแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบใหม่คือแบบธุรกิจบริษัท ปัจจัยสำคัญก็ยังอยู่ที่เรื่องของ “คน” สมัยยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุค Baby Boomer ครอบครัวมักมีลูกหลายคน บางครอบครัวมีลูกเป็นสิบคนก็มี แถมผู้ชายบางคนมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของคนที่จะมาช่วยงานหรือรับช่วงต่อในการบริหารธุรกิจต่อจากพ่อแม่ ถึงกระนั้นก็ยังเกิดปัญหาในเรื่องแนวคิดการทำธุรกิจระหว่างที่เรียกว่า “เตี่ย” กับ “ตี๋” อันเนื่องมาจากเตี่ยหรือพ่อเป็นคนรุ่นเก่าบุกเบิกธุรกิจมากับมือประสบการณ์สูงมักจะมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมไม่ชอบเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ในขณะที่ตี๋หรือลูกชายเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสเรียนหนังสือจบปริญญาทั้งในเมืองไทยหรือประเทศทำให้เกิดแนวคิดใหม่ในการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงธุรกิจแต่มักไม่ได้รับความเห็นชอบจากเตี่ยที่มีอำนาจในการตัดสินใจ

บทเรียนธุรกิจกงสีหรือธุรกิจครอบครัวที่เห็นก็คือธุรกิจมักเกิดปัญหาหรือล่มสลายในรุ่นที่สาม ผู้ริเริ่มบุกเบิกธุรกิจรุ่นแรกที่ก่อร่างสร้างธุรกิจขึ้นมาจะทำงานหนักพากเพียรเต็มที่ พอตกรุ่นที่สองก็ยังเห็นรุ่นพ่อรุ่นแม่ทำงานหนักก็พร้อมร่วมกันทำงานสร้างกิจการสานต่อพ่อแม่ แต่พอถึงรุ่นที่สามที่เกิดในโลกยุคใหม่ในสภาพที่ครอบครัวมีความพร้อมมีความสะดวกสบายทำให้ไม่เห็นความยากลำบากของคนรุ่นอากงหรือเตี่ย ไม่มีประสบการณ์จริงในการทำงานอย่างเพียงพอ ขาดความมุ่งมั่นใส่ใจในธุรกิจกงสีหรือธุรกิจครอบครัวเหมือนรุ่นแรกรุ่นสอง แถมรุ่นสามบางคนไม่ชอบไม่ต้องการที่จะเป็นทายาทรับต่อธุรกิจ ฝันที่จะมีอิสระและทำธุรกิจของตัวเองหรือไปเป็นคนทำงานเป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลกมากกว่า สมัยนี้ครอบครัวมีลูกน้อยทำให้พ่อแม่ไม่มีทางเลือกมากนัก เป็นเหตุไปสู่การสิ้นสุดธุรกิจครอบครัวได้ในรุ่นที่สาม

มรดกทรัพย์สินเงินทองและมูลค่าของธุรกิจกงสีที่แม้จะจดทะเบียนเป็นรูปแบบบริษัทแล้วมีการทำพินัยกรรมแบ่งมรดกทรัพย์สินเงินทองไว้แล้วก็ยังมีเรื่องภายในกลายเป็นปัญหาใหญ่ของหลายตระกูลดังถึงขั้นเกิดคดีการเข่นฆ่ากันเอง การฟ้องร้องแย่งชิงมรดกกันในบรรดาพี่น้องเขยสะใภ้จนยากที่กลับมารักสมัครสมานทำธุรกิจร่วมกันเหมือนแต่ก่อน ล่าสุดก็คือกรณีแม่ฟ้องร้องลูกตัวเองจนกลายเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง

ความยั่งยืนของธุรกิจกงสีจึงไม่ใช่เพียงแค่จดทะเบียนเปลี่ยนเป็นธุรกิจครอบครัวแบ่งสัดส่วนการถือครองหุ้นแต่ต้องกำหนดมาตรฐานการดำเนินธุรกิจแบบบริษัทหรือองค์กรที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง การเปลี่ยนรูปแบบจากบริษัทจำกัดมาเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นตลาดใหญ่(SET)หรือตลาดรอง(MAI)โดยที่เจ้าของและหุ้นส่วนธุรกิจเดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 50% และเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปลงทุนถือหุ้น 20-30% ข้อดีก็คือ

1.  เป็นบริษัทมหาชนที่ได้รับการรับรองจากตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ได้รับความเชื่อถือทั้งภายในและต่างประเทศ

2.  มีรูปแบบการบริหารที่เป็นมาตรฐาน มีคณะกรรมการบริหาร กรรมการอิสระ ผู้บริหารมืออาชีพ

3.  มีระบบการรายงานการดำเนินงาน ธรรมาภิบาลโปร่งใสตรวจสอบได้ มีกฎระเบียบรองรับ

4.  ระดมทุนเพื่อการพัฒนาและขยายธุรกิจ ลดภาระดอกเบี้ย เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาธุรกิจใหม่ ร่วมมือกับพันธมิตรหรือคู่ค้าอื่น

5.  สมาชิกครอบครัวกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นผู้บริหารตามความรู้ความสามารถ ผู้อาวุโสวางมือในการทำงานบริหารได้โดยง่ายแต่ยังได้รับผลประโยชน์จากหุ้น ไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องไม่มีทายาทมาสานต่อธุรกิจ

ธุรกิจกงสีหรือธุรกิจครอบครัวจำนวนไม่น้อยได้เลือกรูปแบบนี้ทำให้ธุรกิจเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากและยังเป็นการกระจายผลตอบแทนไปให้กับนักลงทุนที่พร้อมจะเอาเอาเงินมาลงทุนส่งเสริมธุรกิจอีกด้วย แต่ถ้าเจ้าของธุรกิจกงสี หรือ ธุรกิจครอบครัวยังไม่ยอมรับการนำธุรกิจเข้าตลาดก็สามารถทำได้แต่ต้องเปิดรับการใช้ระบบมาตรฐานการบริหารแบบบริษัทที่เข้าตลาดอย่างเคร่งครัดจริงจัง

The post ระบบกงสี ธุรกิจระหว่าง “เตี่ย” กับ “ตี๋” ยังดีอยู่ไหม? appeared first on Smart SME.

Sme Smart Service | แนะนำ 2 อาชีพเสริม ลงทุนน้อย คืนทุนไว | 18 ต.ค. 61


via IFTTT

ความกล้า 5 อย่างที่คนเป็นผู้นำต้องมี

หลายๆ หน่วยงานในประเทศไทยอยากเป็นองค์กรนวัตกรรม (Innovative Organization)

หลายๆ องค์กรอยากให้คนในองค์กรมีหัวใจแห่งความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Organization)

แต่หลายๆ องค์กรยังไม่เข้าใจหรือยังไม่มี DNA เด่นในการสร้างนวัตกรรมหรือหัวใจแห่งความเป็นผู้ประกอบการ

เมื่อไม่มีแก่น ความยั่งยืนก็ไม่มีทางเกิดได้

แก่นในที่นี้เริ่มต้นจากผู้นำขององค์กร

ผู้นำองค์กรที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้นต้องมี DNA เด่นของการประสบความสำเร็จ อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้นำ 5 กล้า มีความกล้า 5 อย่าง

 

  1. ผู้นำต้องกล้าคิดในสิ่งที่ดี แตกต่างและท้าทาย

ผู้นำต้องสามารถประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่ในองค์กรให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นได้ ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องมีฝัน ฝันที่จะเห็นองค์กรของตัวเองเป็นอย่างไรในอีก 5-10 ปีข้างหน้า และผู้นำต้องประกาศความฝันนั้นให้ทุกคนในองค์กรรู้เหมือนๆ กัน เรียกได้ว่าต้องกล้าคิดในสิ่งที่ดี แตกต่างและท้าทายความสามารถของตัวเอง คนในองค์กรเพื่อทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริง

 

  1. ผู้นำต้องกล้าลงมือทำในสิ่งคิด

ผู้นำบางคนชอบคิด แต่พอจะทำกลับไม่กล้า สิ่งที่คิดจึงไม่ถูกผลักดันไปสู่การลงทำจริง การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องคิดและทำเสมอ เวลาองค์กรประกาศจะทำอะไรซักอย่าง สิ่งที่ทุกองค์กรเป็นเหมือนกันหมดคือ พนักงานทุกคนจะหันไปมองผู้นำก่อน ถ้าผู้นำเริ่ม พนักงานจะเริ่ม ถ้าผู้นำอยู่เฉยๆ พนักงานก็จะอยู่เฉยๆ เป็นเรื่องปกติ ถ้าใครลงมือทำโดยที่ผู้นำไม่สนใจก็คงได้ทำงานฟรี เสียเวลาเปล่า ผู้นำจึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการลงมือทำ หรือที่ฝรั่งเค้ามักใช้คำว่า “เป็น Role Model” ของน้องๆ องค์กรถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้

 

  1. ผู้นำต้องกล้าพูดความจริง

หลายครั้งที่ผู้นำคิดและทำได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาผู้นำกลับเงียบ ไม่กล้าพูดความจริงออกมา ทำให้พนักงานขาดศรัทธาจากผู้นำ ผู้นำองค์กรจึงต้องเป็นคนที่รับทั้งผิดและรับทั้งชอบ ภาษาไทยจึงใช้คำว่า ต้องมี “ความรับผิดชอบ” บางองค์กรต้องการการเปลี่ยนแปลง ถ้าประสบความสำเร็จด้วยดี ชั้นรับ แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ชั้นขอชิ่งไปก่อนหล่ะ อันนี้ถ้าเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อไหร่ องค์กรนั้นนอกจากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว พนักงานจะเกิดอาการกลัวความเปลี่ยนแปลงโดยปริยาย

 

  1. ผู้นำต้องกล้าสร้างความฮึกเหิมทีมงาน

ผู้นำหลายคน นอกจากไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ แล้วยังไม่กล้าเป็นศูนย์รวมจิตใจของทีมงาน บางคนไม่กล้าสร้างความฮึกเหิม บางคนไม่รู้ว่าการสร้างความฮึกเหิมทำอย่างไร ต้องไปเรียนรู้ครับ ในภาวะที่ต้องการเปลี่ยน เปลี่ยนให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้น หรือกำลังต่อสู้กับภาวะขาดทุนใกล้ล้มละลาย ถ้าทีมงานไม่มีเป้าหมายเดียวกันกับผู้นำ ไม่มีส่วนร่วมกับความสำเร็จที่ฝันไว้ คงไม่มีทางไปถึงจุดหมายได้ หรือถ้าได้ก็คงใช้เวลายาวนานหลายปี ถึงเวลานั้นองค์กรอาจไม่รอดถึงวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

 

  1. ผู้นำต้องกล้าสนับสนุนให้ทีมงานเสนอความคิดเห็นและลงมือทำ

โลกเปลี่ยนเร็ว หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ไม่อย่างนั้นจะมีลูกน้องไว้ทำอะไร ผู้นำจึงต้องกล้าสนับสนุนให้ลูกน้องกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าถาม กล้าปรึกษา กล้าที่จะโง่ ผู้นำต้องกล้าที่จะเปิดโอกาสให้ทีมงานได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ว่าจะกระตุ้น สนับสนุน ให้กำลังใจ หรืออำนวยความสะดวกต่างๆ ก็แล้วแต่ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

 

เมื่อผู้นำมี DNA เด่น หรือเป็นผู้นำ 5 กล้าแล้ว เป้าหมายจะเหนื่อยยากแค่ไหน โอกาสประสบความสำเร็จก็มีอยู่เสมอ

ผู้นำที่จะส่งสารที่ดีไปถึงทีมงานได้นั้น ต้องเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำที่นำคน นำทีมและนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ยิ่งถ้าเราต้องการทำสิ่งใหม่ สิ่งที่แตกต่าง และสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หรือหลายคนเรียกมันว่า นวัตกรรม ยิ่งต้องมีความเป็นผู้นำ 5 กล้ามากขึ้นไปอีก

*** การทำสิ่งใหม่ที่แตกต่าง หรือนวัตกรรมนั้นโดยทั่วไปจะทำได้ใน 2 ระดับ

  1. การสร้างสิ่งใหม่ แตกต่างให้เกิดขึ้นทั้งองค์กร

ทำให้คนทุกคนหันมาช่วยกันผลักดัน กระตุ้น สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมทั้งองค์กร หรือ ใครๆ ก็คิดอะไรใหม่ๆ ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือที่ SCG บริษัทที่ผมอยู่มาเกือบ 20 ปี เป็นองค์กรที่ตั้งใจทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นกับพนักงานทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่อยู่ในหน่วยงานวิจัยเท่านั้น

การผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่กับทุกคนในองค์กร ต้องเริ่มจากการสร้างผู้นำที่ใช่!!! ผู้นำ 5 กล้า!!! เพื่อนำไปสู่การวางกลยุทธ์ที่ดี การจัดการความรู้ภายในองค์กร การบริหารคนในทุกระดับ การพัฒนากระบวนการใหม่ๆ

และสุดท้ายคือ การสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างให้มีเงินเข้า คนในองค์กรพอใจ ลูกค้าดีใจ และชุมชนสังคมสนับสนุน

 

  1. การสร้างสิ่งใหม่ แตกต่างให้เกิดขึ้นในตัวคนหรือทีม

การพัฒนานวัตกรรมแบบนี้คือการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะคนหรือเฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะแตกต่างจากแบบแรก

คนเก่งหรือคนที่มีความสามารถสูงจะสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิมมาก

สิ่งที่ต้องทำคือ การผลักดันงานวิจัยหรือนวัตกรรมออกไปสู่เชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม หรือเชิงสังคมให้ได้

หรือเรียกว่า ทำให้สิ่งที่คิดกลายเป็นจริงและใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมให้ได้

เปลี่ยนจากกระดาษเป็นการกระทำจริง

ถ้าทำงานคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ทุกงานไม่มีทางทำคนเดียวได้

ต้องมีเพื่อน มีทีม สุดท้ายก็ต้องมีความกล้า ไม่อย่างนั้นงานก็เสร็จช้า ทีมงานหนีหมด

 

*** การทำงานในหน่วยงานเดียวกันให้สำเร็จก็ว่ายากแล้ว การทำงานที่ต้องใช้หลายหน่วยงาน หลากหลายศาสตร์มาทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ตอบโจทย์ได้มากกว่า ยิ่งยากขึ้น

 

ตัวอย่างที่ผมเคยทำในมหาวิทยาลัยมหิดลเช่น การทำงานร่วมกันระหว่างคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และสมาคมวิชาชีพฯ

ทั้งสองศาสตร์กับหนึ่งสมาคมวิชาชีพฯ จะเติมเต็มซึ่งกันและกัน ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Co-Creation หรือ Collaboration หรือ Intregration หรือ Convegence ก็แล้วแต่

แต่มันคือการร่วมกันสร้างให้เกิด 1+1 มากกว่า 2 อาจเป็น 3, 4, 5 หรือ 10 เลยก็เป็นไปได้

โดยการนำจุดแข็งของแต่ละคนเติมเต็มจุดอ่อนของกันและกันเพื่อสร้างพลังสูงสุด

หากจะให้สรุปสั้นๆ

 

ผู้นำต้องสร้างความท้าทาย Challenge สร้างการมีส่วนร่วม Co-Creation สร้างเป้าหมายร่วม Shared Vision และสร้างการสื่อสารที่ชัดเจน Communication

 

แนวคิดของผู้นำที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรได้จำเป็นต้องสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Added) ให้เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าองค์กรนั้นกำลังทำสินค้า บริการหรือกระบวนการก็ตาม

 

หากไม่มีแก่น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปรไปตามสิ่งที่ต้องการทำแบบฉาบฉวย เหมือนอย่างที่หลายๆ องค์กรทำเรื่องการจัดการความรู้ (KM: Knowledge Management) แล้วบอกว่า ไม่เห็นมีประโยชน์ เบื่อจะทำเอกสาร เพราะเรายังเข้าไม่ถึงแก่นของมัน เราแค่เข้าถึงเปลือกที่ไม่ทำให้เกิดการหมุน (Spiral) ซึ่งเป็นหัวใจของ KM

 

*** ทุกๆ ธุรกิจก็ไม่ต่างกัน

 

ผู้นำถือเป็นจุดรวมใจขององค์กรที่ต้องมี DNA เด่นในการผลักดันงานให้ประสบความสำเร็จ

และผู้นำที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเป็น “ผู้นำที่เป็นผู้กล้า” เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

หลายครั้งเรามักจะบอกว่า ความยากที่สุดในการทำงานให้สำเร็จคือ “เรื่องคน”

คำพูดนี้จริงมากๆ แม้แต่ตัวเราเอง การผลักดันอะไรซักอย่างให้สำเร็จ เรายังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง

เมื่อต้องทำกับคนอื่นๆ ที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ผ่านประสบการณ์โชกโชนไม่เหมือนกัน

ความเป็นผู้นำที่ดีจะช่วยให้งานทุกอย่างสำเร็จได้ง่ายขึ้น มีคุณค่ามากขึ้น

สมัยนี้ไม่มีใครทำงานคนเดียวแล้วครับ มันยากมาก ต้องมีเพื่อน มีทีม การทำทีมให้ดี มุ่งเป้าเดียวกันต้องเริ่มจากตัวเรา แล้วทุกงานจะสำเร็จได้โดยง่าย ถามว่า ”วันนี้คุณเป็นผู้กล้าแล้วหรือยัง”…สวัสดี

 

GURU : ดร.พยัต วุฒิรงค์

The post ความกล้า 5 อย่างที่คนเป็นผู้นำต้องมี appeared first on Smart SME.

ไทยชนะประมูลขายข้าว ฟิลิปปินส์ 1.8 หมื่นตัน

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เผยว่า การเปิดประมูลนำเข้าข้าวขาว 25% ปริมาณ 2.5 แสนตัน ของหน่วยงานนำเข้าข้าวรัฐบาลฟิลิปปินส์แบบรัฐต่อเอกชน เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2561 ผลปรากฏว่าไทยและเวียดนามชนะการประมูลขายข้าวให้รัฐบาล ฟิลิปปินส์ รวมกันปริมาณ 4.7 หมื่นตัน

แบ่งเป็นไทยชนะการประมูล 1.8 หมื่นตัน ในราคา 426 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน และเวียดนามชนะการประมูลประมาณ 2.9 หมื่นตัน ในราคา 427 ดอลลาร์/ตัน โดยจะส่งมอบข้าวให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ช่วงเดือน พ.ย.นี้ งบประมาณที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ตั้งไว้ซื้อข้าวแค่ 428 ดอลลาร์/ตัน ถือว่าต่ำมาก เพราะเป็นราคาที่ต้องรวมค่าเรือและประกันภัยไปจนถึงโกดังในฟิลิปปินส์ จึงขายกันเพียงเล็กน้อย

โดยในการเปิดประมูลข้าวของรัฐบาลฟิลิปปินส์รอบหน้าช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ คาดว่าฟิลิปปินส์จะนำข้าวที่เหลือจากการประมูลรอบนี้มารวมกับการเปิดเสนอซื้อข้าวรอบใหม่ต้น เดือนพ.ย.นี้ รวมป็น 4.5 แสนตัน คาดว่าไทยและเวียดนามจะแข่งขันเสนอราคาขาย เนื่องจากฟิลิปปินส์ได้เพิ่มงบซื้อข้าวมาเป็น 460 ดอลลาร์/ตัน

ข่าวอื่นๆ คลิก

The post ไทยชนะประมูลขายข้าว ฟิลิปปินส์ 1.8 หมื่นตัน appeared first on Smart SME.

“Smart SME EXPO 2019” ที่สุดแห่งงานธุรกิจแฟรนไชส์แห่งปี เปิดจองพื้นที่แล้ววันนี้ กับสิทธิพิเศษก่อนใคร !!

ด้วยเสียงตอบรับมากมายล้นหลามทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย จากการจัดงาน Smart SME EXPO 2018 ที่ผ่านมา โดยจัดต่อเนื่อง 4 วัน มีผู้สนใจเข้าชมงานกว่า 108,498 คน สร้างเงินสะพัดในงานมากถึง 1,200 ล้านบาท กับ 5 โซนธุรกิจที่เป็นไฮไลท์ของงาน ไม่ว่าจะเป็นโซนกาแฟและเครื่องดื่ม  โซนแฟรนไชส์  โซนสุขภาพความงาม  โซนการเงิน  และโซนอาหาร  พร้อมเปิดโลกทัศน์รับยุคดิตอลด้วยสัมมนาจากกูรูแถวหน้าระดับประเทศตลอดวัน และที่สำคัญคือแคมเปญสุดพิเศษที่คุณไม่สามารถหาได้จากงานไหน แต่งานนี้เสิร์ฟให้คุณมีธุรกิจเป็นของตัวเองง่าย ๆพร้อมแหล่งเงินทุน-สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ที่ทุกธนาคารและสถาบันการเงินพร้อมใจจัดเต็มเพื่องานนี้ ซึ่งที่ผ่านมามียอดการขอสินเชื่อภายในงานกว่า 2,335.90 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจที่ครองความนิยมของผู้เดินงานมากที่สุดเรียงลำดับคือ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเครื่องเดื่ม ธุรกิจสุขภาพและความงาม   และธุรกิจบริการ  ส่วนหัวข้ออบรมที่ได้รับความสนใจสูงสุด คือ เวิร์กชอปธุรกิจกาแฟ สะท้อนให้เห็นว่าภาพรวมธุรกิจกาแฟยังคงมาแรงติดกระแสลมบน   จากการจัดงาน Smart SME EXPO ยังชี้ให้เห็นว่าคนยังให้ความสนใจในเรื่องการลงทุน  และภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะกลับมาคึกคัก

เมื่องาน Smart SME EXPO 2019 กำลังโคจรมาจัดอีกครั้ง โดยเป็นเวทีสำคัญในการซื้อขายธุรกิจและเชื่อมโยงหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคธุรกิจ และประชาชนได้มาพบเจอกัน  ในวันที่ 4-7 กรกฎาคม 2562 จึงไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการ  รวมทั้งผู้ที่มองหาธุรกิจแฟรนไชส์  และขอสินเชื่อ จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอย

 

งาน Smart SME EXPO 2019  เปิดจองพื้นที่แล้วตั้งแต่วันนี้ เคาะราคา Early Birth กับสิทธิประโยชน์คุ้มค่ามากมาย  จองก่อนได้สิทธิก่อนใครที่หมายเลขโทรศัพท์ 09-4915-4624 , 08-6344-5358

The post “Smart SME EXPO 2019” ที่สุดแห่งงานธุรกิจแฟรนไชส์แห่งปี เปิดจองพื้นที่แล้ววันนี้ กับสิทธิพิเศษก่อนใคร !! appeared first on Smart SME.